Categories
สาระน่ารู้เกี่ยวกับแมว สุขภาพ

โรคเยื่อบุช่องท้องอักเสบ  โรคอันตรายที่สามารถติดต่อกันได้ในแมว

การเลี้ยงแมวไม่ได้มีเพียงแค่การให้อาหารหรือการทำความสะอาดเท่านั้นแต่เรายังต้องดูแลไปถึงสุขภาพของพวกมันด้วย ดังนั้นก่อนที่จะตัดสินใจรับแมวมาเลี้ยงสักตัวสิ่งที่ต้องพิจารณาคือเรามีงบประมาณสำหรับการดูแลพวกเขาเพื่อไม่ให้เป็นโรคหรือดูแลรักษาเมื่อพวกเขาติดโรคแล้วหรือไม่ โรคในแมวนั้นมีมากมายและที่เราจะมาแนะนำกันในวันนี้คือโรคอันตรายที่สามารถพบได้ทั่วไปนั่นก็คือ โรคเยื่อบุช่องท้องอักเสบ  มันเป็นโรคที่อันตรายเนื่องจากสามารถติดต่อกันได้ในแมว เกิดจากระบบภูมิคุ้มกันทำให้มีภาวะหลอดเลือดอักเสบ ทำลายระบบต่างๆ เกิดจากไวรัสโคโรน่าเช่นเดียวกับที่แพร่ระบาดในมนุษย์ในปัจจุบัน

cat disease1

อาการของโรค FIP ในแมวและอาการผิดปกติที่สามารถสังเกตได้ 

อาการของ โรคเยื่อบุช่องท้องอักเสบ ซึ่งเป็น โรคติดต่อแมว มักจะเกิดขึ้นในแมวอายุน้อยเนื่องจากร่างกายยังไม่แข็งแรงทำให้สามารถติดเชื้อได้ง่ายแถมยังได้แสดงอาการป่วยอีกด้วย อาการผิดปกติที่คนเลี้ยงอย่างเราจะสามารถสังเกตเห็นได้ก็คืออาการท้องเสียแบบไม่รุนแรงแถมยังสามารถหายเองได้

อีกต่างหาก ดังนั้นหากคุณเริ่มเห็นแมวเด็กหรือแมวที่เลี้ยงอยู่ท้องเสียควรรีบพบแพทย์โดยด่วนเพราะมันอาจจะไม่ใช่การท้องเสียธรรมดาทั่วไป อาการป่วยมักจะไม่จำเพราะมีหลายอาการไม่ว่าจะเป็นการกินอาหารน้อยลง ซึม เบื่ออาหาร บางตัวมีอาการเป็นไข้เป็นๆ หายๆ หากแมวของเรามีอาการใดอาการหนึ่งที่กล่าวมาข้างต้นควรพาไปหาหมอเนื่องจากหากเรารอให้แมวมีอาการผิดปกติอย่างชัดเจนไม่ว่าจะเป็นอาการหอบหายใจถี่หรือมีท้องป่องเนื่องจากมีของเหลวในปริมาณมากสะสมทั้งบริเวณช่องอกและช่องท้องซึ่งเป็นอาการแบบเปียก หรืออาการม่านตาอักเสบ เริ่มเดินเซ แขนขาอ่อนแรง อาการทางระบบประสาทหรืออาการแบบแห้ง

cat disease

หมายความว่าแมวของเราอาการหนักเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เมื่อแมวมีอาการใดอาการหนึ่งเราจึงควรรีบพาแมวไปพบแพทย์โดยด่วนเพื่อให้สามารถรักษาได้ทันเวลา หากพบได้เร็วโรคดังกล่าวจะสามารถรักษาได้และมีโอกาสสูงที่จะไม่ลุกลาม แต่หากปล่อยทิ้งไว้นานมันก็จะมีโอกาสสูงที่แมวจะอาการหนักมากขึ้นจนยากเกินเยียวยา 

วิธีการรักษาอาการโรค FIP ในแมว

วิธีเดียวที่จะสามารถรักษาอาการ โรคเยื่อบุช่องท้องอักเสบ ที่เป็น โรคติดต่อแมว ได้คือเราต้องพาแมวไปพบสัตวแพทย์ ปัจจุบันยังไม่มีการรักษาอย่างเป็นทางการใช้วิธีการรักษาตามอาการซึ่งผู้เลี้ยงไม่สามารถรักษาได้เอง แต่ก็มีการพัฒนาไปถึงผลิตยาต้านไวรัสขึ้นมาแล้ว อย่างไรก็ตามยาดังกล่าวยังไม่ได้รับการรับรองผลอย่างเป็นทางการว่าจะสามารถใช้รักษาโรคดังกล่าวได้ แต่ตามผลวิจัยแล้วยาต้านไวรัสมีเปอร์เซ็นต์การรักษาที่สูง ดังนั้นหากพบว่าแมวมีอาการผิดปกติอย่านิ่งนอนใจและควรพาแมวไปพบสัตวแพทย์โดยด่วน guscats.com

บทความเพิ่มเติม

Sponsor : https://hilo-88.net/

Categories
สาระน่ารู้เกี่ยวกับแมว สุขภาพ

ป้อนยาแมวต้องทำอย่างไร ทาสแมวไปดูกัน

สิ่งที่คนเลี้ยงสัตว์ไม่ต้องการให้เกิดขึ้นมากที่สุดก็คือการที่สัตว์เลี้ยงของเรามีอาการป่วยนั่นเอง เพราะนอกจากจะตามมาด้วยค่าใช้จ่ายจำนวนมหาศาลแล้ว เรายังต้องดูแลพวกเขาให้ดีขึ้นเป็นพิเศษมากกว่าเดิม และไม่ใช่สัตว์เลี้ยงทุกตัวที่จะป้อนยาได้ง่ายๆ แต่อย่างใด ยิ่งเป็นสัตว์เลี้ยงอินดี้อย่างแมวด้วยแล้วการจัดการยิ่งยากมากขึ้นไปอีก แต่ความจริงแล้วการป้อนยาแมวนั้นมีเทคนิคที่สามารถทำได้ง่าย วิธีการเป็นอย่างไรไปดูกัน 

sick cat1

รวมเทคนิคการป้อนยาให้กับแมวอย่างไรให้ง่ายดายและสะดวกสบายที่สุด

  1. ป้อนยาเม็ดโดยตรง เป็นวิธีการป้อนยาแมวที่ดีที่สุดเนื่องจากจะช่วยให้ยาเข้าไปทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ วิธีการคือใช้มือข้างที่ไม่ถนัดจับบริเวณร่องฟันที่อยู่ตรงกลางระหว่างฟันบนฟันล่างของพวกเขา จากนั้นใช้นิ้วมือง้างปากของพวกเขาออก นำเอามือข้างที่ถนัดจับยาแล้วหย่อนลงไปในปากของพวกเขา จากนั้นนำเอามือข้างที่ไม่ถนัดปิดปากแมวเอาไว้ นำเอามือข้างที่ถนัดลูบบริเวณคอของพวกเขาจนมั่นใจว่าพวกเขากลืนยาลงไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วเป็นอันเสร็จสิ้น
  2. บดยาผสมอาหาร หากแมวป่วยของคุณเป็นแมวที่ค่อนข้างดื้อรั้นและกินยายาก ไม่สามารถป้อนยาเป็นเม็ดได้ก็สามารถใช้วิธีการบดยาผสมเข้ากับอาหารก็ได้เช่นเดียวกัน แต่ขอแนะนำให้เป็นอาหารเจลซึ่งเป็นอาหารเสริมสำหรับแมวที่ป่วยแล้วป้ายบริเวณริมฝีปากบนของพวกเขาจนได้ปริมาณยาตามที่กำหนดเอาไว้จะดีที่สุด หากไม่มีจะใช้ผสมซอสเกรวี่หรือน้ำผึ้งก็ได้เช่นเดียวกัน
  3. ยาเม็ดลงไปในอาหาร หากเป็นแมวตัวใหญ่หน่อยที่ชื่นชอบการกินเป็นชีวิตจิตใจอยู่แล้ว ในขณะที่ยามีขนาดเล็กและไม่มีกลิ่นแปลกปลอมที่ได้กลิ่นอย่างชัดเจน จะใช้วิธีการยัดยาเอาไว้ในอาหารแล้วป้อนให้พวกเขาก็ได้เช่นเดียวกัน จะช่วยให้พวกเขากินยาได้ง่ายขึ้นกว่าเดิม
sick cat32

ป้อนยาน้ำให้แมวอย่างไรให้ปลอดภัยและถูกวิธี 

หากคุณจำเป็นต้องป้อนยาแมวโดยยานั้นเป็นยาน้ำให้กับแมวป่วย วิธีการที่ดีที่สุดก็คือการใช้ไซริงค์หรือกระบอกฉีดยาแบบที่ไม่มีเข็มฉีดยา โดยการดูดยาใส่ลงไปในหลอดไซริงค์ตามปริมาณที่สัตวแพทย์กำหนดเอาไว้ หลังจากนั้นให้ทำเหมือนกับเวลาป้อนยาเม็ดทั้งเม็ดนั่นก็คือเอามือข้างที่ไม่ถนัดง้างปากของแมวออก นำเอามือข้างที่ถนัดแหย่ปลายไซริงค์เอาไว้บริเวณข้างริมฝีปากให้ชิดที่สุด จากนั้นค่อยๆ ดันยาเข้าปากแมวจนกว่าจะหมด เพียงเท่านี้พวกเขาก็จะได้กินยาอย่างปลอดภัยแล้ว แต่โดยปกติยาน้ำไม่ค่อยมีปัญหาสักเท่าไหร่เนื่องจากมีรสชาติค่อนข้างดี ถึงแมวจะรับรสหวานไม่ได้แต่ก็ไม่ขมเหมือนกับยาเม็ดแต่อย่างใด guscats.com

บทความเพิ่มเติม

Sponsor : https://ufaball.bet/

Categories
สาระน่ารู้เกี่ยวกับแมว สุขภาพ

แมวดื้อยาปฏิชีวนะ ปัญหาที่อาจส่งผลต่อสุขภาพของแมวในระยะยาว

แมวนั้นก็เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเหมือนกับมนุษย์เช่นเดียวกัน ดังนั้นมันจึงมีโอกาสที่พวกเขาอาจจะเจ็บป่วยได้ไม่ว่าจะเป็นจากการติดเชื้อหรือแม้แต่การแก่ชราลงก็ตาม เวลาพาไปหาสัตวแพทย์เราก็มักจะได้รับยาที่ช่วยบรรเทาอาการให้พวกเขาดีขึ้น โดยเฉพาะยาปฏิชีวนะที่หมอจะสั่งอย่างเคร่งครัดให้เจ้าของป้อนจนกว่าจะหมด แต่บางครั้งเราอาจไม่มีเวลาดูแลพวกเขามากพอและไม่ได้ป้อนจนหมดแต่อย่างใด ทราบหรือไม่ว่ามันอาจจะทำให้แมวดื้อยาได้ เราจะพาทุกคนไปดูถึงสาเหตุและวิธีการลดปัญหาดังกล่าวกัน

cat health1

รวมวิธีการลดปัญหาเมื่อแมวมีอาการดื้อยาปฏิชีวนะ

  1. ตรวจค่าความไวจากเชื้อ หากรักษาด้วยยาปฏิชีวนะไปในระยะเวลาหนึ่งแล้วพบว่าไม่ได้ผลเนื่องจากแมวดื้อยา เราสามารถใช้วิธีการตรวจความไวของเชื้อเพื่อตรวจสอบสุขภาพแมวได้ว่าพวกเขาเหมาะสำหรับการใช้ยาปฏิชีวนะตัวใด 
  2. ลดการใช้ยา สิ่งสำคัญก็คือเราควรพาแมวของเราไปพบแพทย์ทุกครั้งเมื่อพวกเขาป่วยเพื่อที่จะได้รับการวินิจฉัยอย่างถูกต้องก่อนที่จะเลือกใช้ยา ควรใช้ยาที่เฉพาะเจาะจงกับโรคที่เป็นก็จะช่วยลดอาการดื้อยาได้ดี 
  3. รับผิดชอบ เมื่อสัตวแพทย์จ่ายยาปฏิชีวนะให้กับแมวของเรา เจ้าของอย่างเรามีหน้าที่รับผิดชอบในการป้อนยาพวกเขาจนกว่าจะหมดไม่ว่าจะมีเวลาหรือไม่ก็ตาม เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาว 
  4. การเลือกใช้ยาตามกลุ่ม ปัจจุบันยาปฏิชีวนะถูกแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มประกอบไปด้วย BACTERIOSTATIC ที่ออกฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียและให้ระบบภูมิคุ้มกันจัดการกับสิ่งแปลกปลอมในร่างกายด้วยตนเอง และ BACTERICIDAL ที่จะออกฤทธิ์เข้าไปทำลายเชื้อแบคทีเรียโดยตรง ซึ่งเหมาะสำหรับแมวที่มีร่างกายอ่อนแอ อย่างเช่นแมวที่ป่วยอยู่แล้วหรือมีโรคประจำตัว 
  5. ความถี่ในการใช้ยา การออกฤทธิ์ของยานั้นสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทประกอบไปด้วย CONCENTRATION DEPENDENT เมื่อเพิ่มความเข้มข้นของตัวยาก็จะช่วยให้ฤทธิ์ในการกำจัดแบคทีเรียสูงขึ้นกว่าเดิม ปริมาณนาที่เหมาะสมจึงส่งผลต่อประสิทธิภาพในการทำงานในขณะที่ความถี่ในการให้ยานั้นจะมีความสำคัญน้อยลง TIME DEPENDENT DRUG เป็นกลุ่มยาที่จะออกฤทธิ์ได้ดีหากรับประทานตามความถี่ที่เหมาะสม และสุดท้ายก็คือ ONCENTRATION AND TIME DEPENDENT เป็นแบบที่ผสมกันนั่นก็คือเพิ่มความถี่หรือเพิ่มความเข้มข้นก็จะช่วยให้ประสิทธิภาพของยาดีขึ้นกว่าเดิม 
cat health2

เปิดสาเหตุที่ทำให้สัตว์เลี้ยงของเรามีอาการดื้อยา 

การที่แมวดื้อยานั้นจะส่งผลต่อสุขภาพแมวโดยตรง ดังนั้นเราจึงควรหลีกเลี่ยงสาเหตุที่ทำให้พวกเขามีอาการดื้อยาไม่ว่าจะเป็นการรับยาปฏิชีวนะอย่างผิดวิธีหรือรับประทานไม่ต่อเนื่อง การที่เจ้าของหยุดให้ยาสัตว์เลี้ยงของตนเองเมื่อพวกเขาอาการดีขึ้นแล้ว อาจเกิดจากการที่สัตว์เลี้ยงป้อนยายากจนทำให้ไม่สามารถป้อนยาได้อย่างต่อเนื่องหรือเจ้าของรู้สึกไม่อยากป้อนยาต่อ การที่เจ้าของซื้อยาให้สัตว์เลี้ยงด้วยตนเอง และการคงตัวของยาหลังจากที่ละลายแล้ว รวมไปถึงการเก็บรักษา guscats.com

บทความเพิ่มเติม

Sponsor : https://hilo-88.com/

Categories
สาระน่ารู้เกี่ยวกับแมว สุขภาพ

พฤติกรรมแมวสามารถบอกได้ว่าวันนี้พวกเขามีความสุขและสุขภาพดีหรือไม่

สิ่งที่คนเลี้ยงแมวต้องการก็คือการได้เห็นแมวของตนเองนั้นมีความสุขและสุขภาพดี มันทำให้คนเลี้ยงอย่างเรารู้สึกมีความสุขไปด้วยถึงแม้ว่าบางครั้งเราเองอาจจะไม่ได้เป็นคนที่แมวรักเลยก็ตามที แต่เพราะแมวน้ำเป็นสัตว์ที่แสดงออกไม่เก่ง มันเลยทำให้เราไม่รู้ว่าในตอนนี้พวกเขามีความสุขและสุขภาพดีมากน้อยแค่ไหน เราจึงจะพาทุกคนไปสังเกตพฤติกรรมแมวกันว่าพฤติกรรมแบบไหนที่กำลังบอกว่าพวกเขากำลังมีวันดีๆ อยู่

happy cat

รวมพฤติกรรมของแมวที่กำลังบอกว่าพวกเขามีความสุขและสุขภาพดี 

  1. การสำรวจบ้าน หากคุณตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าแมวมีพฤติกรรมแมวออกสำรวจบ้านตั้งแต่ยังเช้า คนนู้นคนนี้ว่ามีอะไรใหม่ๆ ที่พวกเขาไม่ได้ทำความคุ้นเคยก่อนหน้านี้เหลืออยู่อีกหรือไม่ไม่ว่าจะเป็นการสำรวจภายในบ้านหรือแม้แต่นอกบ้านก็ตาม อาการนี้สามารถบอกได้เป็นอย่างดีว่าพวกเขากำลังมีความสุขและสุขภาพดีอย่างไม่ต้องสงสัย 
  2. การรับประทานอาหาร ให้เราสังเกตว่าแมวของเรายังคงสามารถรับประทานอาหารได้ดีเยี่ยมเหมือนเดิมหรือไม่ หากพวกเขารับประทานอาหารในปริมาณที่เหมาะสมเมื่อเราให้อาหารพวกเขาอยู่เป็นประจำก็แปลว่าไม่มีอะไรน่ากังวลใจ พวกเขายังคงมีสุขภาพที่ดีและเป็นแมวมีความสุขดีนั่นเอง 
happy cat2
  1. การบิดขี้เกียจ เป็นพฤติกรรมที่หลายคนหลงรักเป็นอย่างมากเพราะเวลาแมวบิดขี้เกียจนั้นพวกเขาจะน่ารักน่าชังเป็นพิเศษ แถมมันยังเป็นพฤติกรรมที่พวกเขามักจะทำอยู่ตลอดเวลาเป็นประจำทุกวันอีกด้วย การที่พวกเขายืดเส้นของตนเองนั้นจะส่งผลดีต่อสุขภาพของพวกเขา ช่วยให้พวกเขารู้สึกผ่อนคลายและยังเป็นการกระตุ้นการไหลเวียนโลหิตได้เป็นอย่างดีอีกด้วย 
  2. การนอนกลางวัน แมวเป็นสัตว์นักล่าที่โดยปกติทั่วไปและตามสัญชาตญาณพวกเขามักจะหากินตอนกลางคืนมากกว่าตอนกลางวัน ดังนั้นในช่วงเวลากลางวันพวกเขาจึงมักจะนอนหลับพักผ่อนก่อนที่จะตื่นมาวุ่นวายในช่วงเวลาหลังพระอาทิตย์ตก นอกจากนี้พวกเขายังเป็นสัตว์ที่นอนได้อย่างยาวนานถึง 16 ชั่วโมงต่อวันเลยทีเดียว เราจึงต้องสังเกตว่าพวกเขายังนอนกลางวันได้ตามปกติหรือไม่ หาพวกเขายังนอนหลับพักผ่อนได้อย่างสบายใจ เราก็สามารถสบายใจไปด้วยได้เลยเพราะพวกเขากำลังรู้สึกผ่อนคลายแบบสุดๆ นั่นเอง
happy cat1

การชมวิว พฤติกรรมที่บอกว่าแมวกำลังมีความสุขและสุขภาพดี 

แมวก็เหมือนมนุษย์ที่หากสุขภาพดีและมีความสุขก็จะดำเนินชีวิตไปตามปกติทั่วไป สำหรับมนุษย์อาจเป็นการออกไปเรียนหรือทำงาน แต่สำหรับแมวแล้วพฤติกรรมแมวที่พวกเขาชื่นชอบมากที่สุดก็คงจะเป็นการชมนกชมไม้ดูวิวข้างนอกที่ไม่เคยออกไปสัมผัสกับของจริงมาก่อน หากพวกเขายังคงชมนกชมไม้ตามปกติก็หมายว่าพวกเขาเป็นแมวมีความสุขดีและสุขภาพยังแข็งแรงมากพอที่จะทำในสิ่งที่ตนเองชื่นชอบได้ ในขณะที่ทาสอย่างพวกเรานั้นก็ต้องหาวิธีการที่พวกเขาได้ชมนกชมไม้อย่างสะดวกสบายมากที่สุดต่อไป guscats.com

บทความเพิ่มเติม

Categories
สาระน่ารู้เกี่ยวกับแมว สุขภาพ

แมวหายใจแรง อาการผิดปกติที่ทาสควรดูแลเอาใจใส่

สำหรับคนเลี้ยงแมวอย่างเราแล้วไม่มีอะไรที่น่ากังวลไปมากกว่าสุขภาพของพวกเขาเพราะเวลาเราเลี้ยงคู่ขาวเราก็รักและอยากให้พวกเขาอยู่กับเราไปนานๆ ดังนั้นการดูแลสุขภาพพวกเขาจึงมีความสำคัญไม่น้อยเลยทีเดียว แต่หนึ่งในปัญหาสุขภาพที่หลายคนละเลยเนื่องจากมองว่าน่าจะเป็นพฤติกรรมปกติของพวกเขาอย่างการที่แมวหายใจแรง ความจริงแล้วมีอันตรายกว่าที่เราคิดและพวกเขาควรได้รับการรักษา เราจะพาทุกคนไปดูกันว่าอาการดังกล่าวนั้นเกิดขึ้นจากอะไรและมีวิธีการรักษาอย่างไรบ้าง

cat health

รวมสาเหตุที่ทำให้แมวมีอาการหายใจแรง ปัญหาสุขภาพที่ไม่ควรละเลย 

  1. ปัญหาระบบทางเดินหายใจส่วนบน การที่แมวหายใจแรงนั้นสามารถเกิดได้จากการที่มีสิ่งผิดปกติเข้าไปขวางหรืออุดตันภายในท่อลมซึ่งอยู่บริเวณทางเดินหายใจส่วนบนของแมว อย่างเช่นการเป็นเนื้องอก การติดเชื้อรา การมีน้ำมูกเป็นปริมาณมาก หรือแม้แต่การมีก้อนเนื้อบริเวณคอหอยหรือจมูกเป็นต้น ดังนั้นเราจึงควรดูแลสุขภาพแมวด้วยการพาพวกเขาไปหาหมอหากพบกับพฤติกรรมที่ผิดปกติไป 
  2. ปัญหาระบบทางเดินหายใจส่วนล่าง เป็นการที่มีสิ่งผิดปกติหรือสิ่งแปลกปลอมเข้าไปขัดขวางทางเดินหายใจบริเวณส่วนล่าง ส่วนใหญ่แล้วมักเกิดจากอาการหลอดลมตีบเนื่องด้วยอาการภูมิแพ้ ซึ่งแมวแต่ละตัวนั้นก็จะแพ้อะไรที่แตกต่างกันออกไปอย่างเช่นแพ้เนื้อไก่ แพ้ขนตัวเองก็มีเช่นเดียวกัน พวกเขามักจะหายใจเสียงดังและต้องใช้แรงในการหายใจมากกว่าแมวปกติทั่วไป
cat health1
  1. ปอดและหลอดลมฝอยมีปัญหา เกิดจากการที่มีภาวะน้ำท่วมปอดเนื่องด้วยหัวใจวายหรือมีอาการปอดอักเสบ อาการที่เห็นได้ชัดก็คือแมวจะรู้สึกหายใจลำบากไม่ว่าจะเป็นการหายใจเข้าหรือหายใจออกก็ตาม พบว่ามีสิ่งปกติบริเวณช่องอกไม่ว่าจะเป็นกลุ่มก๊าซ ของเหลว หรือของแข็ง ทำให้พวกเขารู้สึกหายใจลำบากแต่ไม่มีเสียงดังแต่อย่างใด
  2. มีก๊าซในบริเวณช่อง เป็นสาเหตุที่ทำให้แมวรู้สึกหายใจลำบากเนื่องจากมันเข้าไปกัดทำลายถุงลมหรือทำให้ถุงลมแตกออกจงส่งผลต่อระบบการหายใจ ต้องรีบพาไปพบแพทย์โดยด่วน เช่นเดียวกับอาการมีน้ำในช่องอกซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้ในหลายกรณีเช่นเดียวกัน หากปล่อยทิ้งไว้นานอาจส่งผลอันตรายกับแมวจนถึงชีวิตได้เลยทีเดียว 

การวินิจฉัยและการรักษาเมื่อพบว่าแมวมีอาการหายใจแรง

cat health2

หากคุณพบว่าแมวหายใจแรงแบบผิดปกติให้รีบพาไปพบแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพแมวโดยด่วน ดูวิธีการวินิจฉัยนั้นสามารถทำได้ตั้งแต่การอัลตราซาวด์ การเอกซเรย์เพื่อดูอวัยวะภายในว่ามีอะไรผิดปกติหรือไม่อย่างเช่นคอ ช่องอก ปอด รวมไปถึงโพรงจมูก ตรวจเลือดเพื่อประเมินอาการ ส่งตรวจน้ำในช่องอกหรืออาจมีการเก็บตัวอย่างก้อนเนื้อไปส่งตรวจว่ามันคืออะไร ส่วนวิธีการรักษานั้นสามารถทำได้ตั้งแต่การให้ออกซิเจน การให้ยารักษาโรค รวมไปจนถึงการผ่าตัดเอาก๊าซหรือน้ำในช่องอกออกก็ช่วยได้เช่นเดียวกัน guscats.com

บทความเพิ่มเติม

Categories
สุขภาพ

หูอักเสบ อาการที่ทำให้หลายคนเข้าใจผิดว่าแมวกำลังชัก

แมวเป็นสัตว์เลี้ยงที่มีอาการป่วยมากมายที่เราต้องคอยดูแลและเฝ้าระวังเพื่อให้พวกเขามีสุขภาพที่ดีที่สุดเท่าที่จะสามารถเป็นไปได้ พวกเขาจะได้อยู่กับเราไปอีกนานๆ เพราะเวลาของพวกเขานั้นมีอยู่เพียงแค่ไม่เกิน 20 ปีเท่านั้น ช่วงเวลาที่พวกเขายังมีชีวิตอยู่กับเราเราก็ย่อมอยากให้พวกเขามีความสุขและสุขภาพแข็งแรงมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ มันจึงทำให้คนเลี้ยงแมวหลายคนค่อนข้างตระหนกตกใจเมื่อพบว่าแมวนั้นลุกไม่ขึ้น อาเจียน ตากระตุก หัวเอียงหรือหัวหมุน วิธีการกลิ้งตัวไปมา หลายคนเข้าใจผิดว่ามันเป็นอาการชัก แต่ความจริงแล้วสามารถเกิดขึ้นได้จากโรคหูอักเสบเช่นเดียวกัน โรคดังกล่าวคืออะไรเราจะพาทุกคนไปทำความรู้จักกัน

cat health2

เป็นอย่างไรหากหูของแมวอักเสบ โรคที่ใกล้ตัวแมวกว่าที่เราคิด

โรคหูอักเสบนั้นเป็นโรคร้ายที่อยู่ใกล้ตัวแมวกว่าที่เราคิดไว้ค่อนข้างมากเลยทีเดียว ส่วนใหญ่แล้วสามารถเกิดขึ้นได้กับทั้งแมวและสุนัข พบว่ามีอาการอักเสบบริเวณหูชั้นกลางไปจนถึงหูชั้นใน สังเกตเห็นได้ชัดว่าสัตว์เลี้ยงของเราจะมีอาการคันหูเป็นพิเศษ ชอบสะบัดหูอยู่เป็นประจำ หากสังเกตให้ดีจะพบว่ามีกลิ่นเหม็นและมีความแฉะไม่น้อย หากอาการหนักพวกเขาอาจเกิดอาการหูบวมขึ้นมาได้ และหากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีพวกเขาก็จะเสียการทรงตัวไปในที่สุด

หากเราพบว่าพวกเขามีอาการเหล่านี้ให้รีบพาไปพบแพทย์โดยด่วนเพื่อทำการรักษาต่อไป สัตวแพทย์จะทำการส่องเข้าไปดูในหูเพื่อดูว่าเกิดจากอะไรกันแน่ ซึ่งสามารถเกิดได้ขึ้นจากหลายปัจจัยไม่ว่าจะเป็นการที่เยื่อแก้วหูทะลุ หากทำการเอกซเรย์จะพบว่ากกหูมีขนาดที่หนามากขึ้นกว่าเดิม ช่องว่างจะดูทึบมากกว่าแมวที่มีสุขภาพแมวดี

cat health1

นอกจากนี้ยังต้องตรวจระบบประสาทอีกด้วยหากพบว่าแมวของเรามีอาการหัวเอียง ตากระตุก ไม่สามารถกระพริบตาได้ หรือแม้แต่การสูญเสียการทรงตัว สำหรับสาเหตุของโรคดังกล่าวนั้นมีมากมายอย่างเช่นการเป็นไรในหู การเป็นไรขี้เรื้อน มีสิ่งแปลกปลอมที่เข้าไปอยู่ในหู มีการติดเชื้อแบคทีเรีย มีการอุดตันจากก้อนเนื้อ เนื้องอก หรือขี้หู หูมีความชื้นอยู่เป็นประจำ ทำความสะอาดหูผิดวิธีหรือทำความสะอาดอย่างรุนแรงจนเกินไป

cat health

หูแมวอักเสบสามารถรักษาอย่างไรให้หายขาด

ความจริงแล้วโรคหูอักเสบไม่ได้เป็นโรคที่รุนแรงถึงขั้นที่คร่าชีวิตแมวได้ขนาดนั้น แต่หากเราไม่ดูแลสุขภาพแมวให้ดีและปล่อยให้อาการเรื้อรังก็มีความอันตรายไม่น้อยเช่นเดียวกัน หากเราพบว่าแมวของเรามีอาการปกติให้รีบพาไปพบสัตวแพทย์โดยด่วน สำหรับอาการรักษาโรคดังกล่าวนั้นระยะเวลาจะเริ่มต้นตั้งแต่หลักสัปดาห์ไปจนถึงหลักเดือนเลยทีเดียว คนเลี้ยงจะต้องให้ยาปฏิชีวนะสำหรับลดอาการติดเชื้อไม่ว่าจะเป็นยารับประทานหรือการทำความสะอาดรูหูของแมวเองก็ตาม โดยต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของสัตวแพทย์อย่างเคร่งครัด guscats.com

บทความเพิ่มเติม

Categories
สาระน่ารู้เกี่ยวกับแมว สุขภาพ

ผลไม้แมวกินได้ สิ่งที่จะช่วยให้สุขภาพของแมวคุณดีขึ้นกว่าเดิม

แมวนั้นเป็นสัตว์ที่กินได้ทั้งเนื้อและพืช ดังนั้นเวลาที่เรากินผักหรือผลไม้พวกเขาก็มักจะมายืนขออยู่เสมอ หลายคนไม่มั่นใจว่าผลไม้แมวกินได้หรือไม่ ความจริงแล้วพวกเขาสามารถกินผักผลไม้ได้บางชนิดเช่นเดียวกัน แต่ในขณะเดียวกันเองก็มีผักผลไม้บางชนิดที่อันตรายต่อพวกเขาด้วย เราจึงจะพาทุกคนมาดูกันว่ามีผลไม้อะไรบ้างที่พวกเขาสามารถกินได้อย่างปลอดภัย

cat health1

รวมรายชื่อผลไม้ที่แมวสามารถกินได้และดีต่อสุขภาพ 

  1. แอปเปิ้ล เป็นผลไม้แมวกินได้ที่เต็มไปด้วยสารอาหารมากมาย มีกากใยอาหาร แถมพลังงานก็ไม่สูงจนเกินไปอีกด้วย ดังนั้นมันจึงค่อนข้างดีต่อสุขภาพแมวไม่น้อยเลยทีเดียว แต่ต้องระวังให้พวกเขากินแกนกลางหรือเมล็ดเข้าไปเพราะมันมีสารไซยาไนด์ที่ส่งผลอันตรายต่อพวกเขา 
  2. แคนตาลูป เป็นผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ เต็มไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ มีไฟเบอร์ และแคลอรี่ต่ำ หากรับประทานในปริมาณที่พอเหมาะแมวของเราก็จะมีสุขภาพที่ดี แต่ต้องระวังไม่ให้พวกเขากินเมล็ดเข้าไปและต้องไม่เอาเปลือกให้พวกเขากินด้วย 
  3. แตงโม ไม่น่าเชื่อเลยว่าพวกเขาจะสามารถกินผลไม้ชนิดนี้ได้ด้วย แต่พวกเขาสามารถกินได้แถมยังชื่นชอบอีกต่างหากเพราะมันมีรสชาติที่หวานฉ่ำ มีปริมาณน้ำตาลและแคลอรี่ต่ำ อุดมไปด้วยวิตามินเอและกากใยอาหาร แต่ต้องระมัดระวังเมล็ดให้ดีเพราะมันอาจจะไปติดคอพวกเขาได้
  4. มะม่วง มันเป็นผลไม้ที่เต็มไปด้วยกากใยซึ่งช่วยระบบขับถ่ายพวกเขาได้เป็นอย่างดี อุดมไปด้วยวิตามิน แต่ก็เป็นผลไม้ที่มีพลังงานสูงดังนั้นจึงควรให้เขารับประทานแต่น้อย 
  5. สับปะรด เป็นผลไม้ที่รสชาติอร่อยแถมยังปลอดภัยสำหรับแมวอีกต่างหาก อุดมไปด้วยทั้งวิตามินและแร่ธาตุ เราจึงสามารถให้พวกเขากินได้เป็นครั้ง แต่ต้องเอาเปลือกออกให้หมด นอกจากนี้หากเป็นสับปะรดกระป๋องไม่ควรให้พวกเขากินโดยเด็ดขาดเพราะมันมีปริมาณน้ำตาลที่สูงแถมยังมีสารกันบูดที่ส่งผลเสียต่อพวกเขาอีกด้วย
cat health2

เปิดรายชื่อผลไม้ที่แมวไม่สามารถกินได้โดยเด็ดขาด 

พูดถึงผลไม้แมวกินได้ที่ดีต่อสุขภาพแมวไปแล้วก็มาต่อกันที่ผลไม้ที่แมวไม่ควรกินโดยเด็ดขาดซึ่งจะประกอบไปด้วยทุเรียน ถึงมันจะไม่มีสารที่เป็นอันตรายแต่ก็เต็มไปด้วยพลังงานและน้ำตาลที่สูงมากจึงไม่เหมาะสำหรับแมวสักเท่าไหร่ เช่นเดียวกับลำไย ขนุน ละมุด หรือน้อยหน่าที่มีทั้งน้ำตาและพลังงานสูงเหมือนกัน

นอกจากนี้ส้มและมะนาวก็เป็นผลไม้ที่ไม่ควรให้พวกเขากินเช่นเดียวกัน เนื่องจากน้ำมันหอมระเหยและกรดซีตริกนั้นจะทำให้พวกเขาท้องไส้ปั่นป่วน และยังมีองุ่นรวมไปถึงลูกเกดที่อันตรายต่อพวกเขาเป็นอย่างมาก หากรับประทานเข้าไปจะทำให้พวกเขาอาเจียน เบื่ออาหาร หรือถึงขั้นไตวายได้เลย guscats.com

บทความเพิ่มเติม

Categories
สาระน่ารู้เกี่ยวกับแมว สุขภาพ

แมวหายใจแรง สัญญาณที่กำลังอาจบอกว่าสัตว์เลี้ยงของคุณป่วย

สิ่งที่คนเลี้ยงสัตว์จำเป็นจะต้องทำอย่างสม่ำเสมอนั่นก็คือการสังเกตพฤติกรรมของสัตว์เลี้ยงเราว่าพวกเขายังคงสบายดีอยู่หรือไม่ เพราะบางทีเราก็อาจจะเห็นสัญญาณที่เตือนว่าสัตว์เลี้ยงของเราอาจป่วยจากการที่เราหมั่นสังเกตก็เป็นได้มันช่วยให้เราสามารถพาพวกเขาไปพบแพทย์เพื่อหาต้นตอความผิดปกติและรับการรักษาได้ทันไม่เว้นแม้กระทั่งอาการเล็กๆ น้อยๆ อย่างเช่นแมวหายใจแรงที่เราจะมาพูดถึงกันในวันนี้ สำหรับคนเลี้ยงแมวแล้วคงรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องปกติที่สัตว์เลี้ยงของเราจะหายใจแรง จนบางทีเราก็ไม่ทันได้ระวังว่ามันอาจจะเป็นสัญญาณเตือนว่าแมวของเรากำลังป่วยอยู่ก็เป็นได้ วันนี้เราจึงจะพาทุกคนมาดูกันว่าอาการดังกล่าวของแมวนั้นกำลังจะบอกอะไรกับเราบ้าง 

sick cat1

เปิดสาเหตุและวิธีการสังเกตเมื่อแมวของเราหายใจแรง 

แมวหายใจแรงนั้นเป็นอาการที่เราสามารถเห็นได้อย่างชัดเจนด้วยตาเปล่า อาการของพวกเขานั้นจะไม่เหมือนกับอาการที่พวกเขาหายใจแรงตามปกติทั่วไป แต่ดูเหมือนแมวป่วยที่ต้องใช้แรงในการหายใจมากขึ้นกว่าเดิมหรือการหายใจนั้นดูมีแรงกระแทกผิดปกติ พฤติกรรมที่มักเกิดขึ้นร่วมด้วยก็คือพวกเขานั้นมักจะนั่งหมอบอยู่ตลอดเวลาเนื่องจากพวกเขาไม่สามารถนอนลงไปได้ทั้งท่านอนหงายหรือนอนตะแคง สาเหตุสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัยด้วยกันไม่ว่าจะเป็น

sick cat2
  1. ท่อลมบนทางเดินหายใจส่วนบนมีสิ่งแปลกปลอมขัดขวางอยู่ อย่างเช่นการมีปัญหาเนื้องอก การติดเชื้อรา การมีน้ำมูกในปริมาณที่มาก หรือแม้แต่การมีก้อนเนื้อบริเวณโพรงจมูกหรือคอหอย 
  2. ทางเดินหายใจส่วนล่างถูกขัดขวาง อย่างเช่นการที่หลอดลมตีบจากอาการแพ้เนื่องจากแมวนั้นก็สามารถเป็นภูมิแพ้ได้เช่นเดียวกัน อาการที่เรามักจะเห็นร่วมด้วยก็คือหายใจลำบากจนมีเสียงดังออกมา พวกเขาจะต้องใช้แรงในการหายใจผิดปกติ
  3. มีปัญหาในระบบหลอดลมฝอยและปอด อย่างเช่นการมีภาวะน้ำท่วมปอดเนื่องจากหัวใจวาย มีการป่วยเป็นโรคปอดอักเสบ อาการที่พบได้บ่อยร่วมด้วยก็คือพวกเขาจะแสดงอาการหายใจลำบากผิดปกติไม่ว่าจะเป็นการหายใจเข้าหรือออกก็ตาม หากมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นบริเวณช่องอกไม่ว่าจะเป็นของเหลว ของแข็ง หรือแก๊ส พวกเขานั้นจะรู้สึกหายใจลำบากมากขึ้นแต่ไม่ส่งเสียงดังแต่อย่างใด 
  4. การมีน้ำในช่องอก อาการที่พบร่วมด้วยก็คือพวกเขามักจะไม่สามารถนอนหงายหรือนอนตะแคงได้เนื่องจากปริมาณของเหลวที่อยู่ในช่องอกหรือช่องท้องมีปริมาณมาก 
  5. ป่วยเป็นโรคหวัดแมว หากแมวของคุณไม่ได้ฉีดวัคซีนแล้วเลี้ยงระบบเปิดก็อาจจะไปติดเชื้อไวรัสไข้หวัดแมวซึ่งเป็นเชื้อไวรัสที่อันตรายจากแมวตัวอื่นนอกบ้านได้ โดยอาการที่พบร่วมด้วยก็คือการที่พวกเขามีน้ำมูกสีเขียวและมีขี้ตามากขึ้นกว่าเดิม หากวินิจฉัยจะพบว่าพวกเขามีระดับออกซิเจนในเลือดน้อย บริเวณเยื่อเมือกจะซีดเผือกหรือม่วงช้ำอย่างเห็นได้ชัด 
  6. การมีแก๊สอยู่ในช่องอก เกิดจากการแตกออกหรือการถูกกัดทำลายของถุงลม
sick cat

วิธีการวินิจฉัยและรักษาเมื่อแมวของเราหายใจแรง 

หากคุณพบว่าแมวหายใจแรงไม่ควรนิ่งนอนใจและควรพาไปพบสัตวแพทย์เพื่อตรวจสอบว่าแมวป่วยหรือไม่ โดยวิธีการวินิจฉัยนั้นจะประกอบไปด้วยการเอกซเรย์เพื่อตรวจสอบความผิดปกติในร่างกาย การอัลตร้าซาวด์ การตรวจเลือด การตรวจน้ำหรือเก็บเซลล์ก้อนเนื้อในช่องอกไปตรวจสอบ ส่วนวิธีการรักษานั้นก็จะประกอบไปด้วยการดมออกซิเจน การนำเอาแก๊สหรือน้ำในช่องอกออกด้วยวิธีการเจาะ และการรับประทานยาเป็นต้น guscats.com

บทความเพิ่มเติม

Categories
สาระน่ารู้เกี่ยวกับแมว สุขภาพ

โรค FIP แมว โรคติดต่อแมว อันตรายถึงชีวิต ที่เหล่าทาสควรให้ความสำคัญมาก ๆ

อย่างที่ทราบกันดีว่า ปัจจุบันนี้นอกจากจะพบว่าผู้คนเจ็บป่วยด้วยโรคที่หลากหลายขึ้นแล้ว น้องแมวเองก็มีโรค หรืออาการเจ็บป่วยหลาย ๆ แบบเพิ่มขึ้นด้วย โดยโรคที่เกิดขึ้นกับแมวก็มีทั้งโรคที่ไม่รุนแรง แต่ก็มีบางโรคที่รุนแรงมากถึงขนาดสามารถคร่าชีวิตน้องแมวไปจากทาสอย่างเราได้เลย โดยเฉพาะ โรค FIP แมว ที่ตอนนี้ถือว่าอันตรายมาก ๆ และเหล่าทาสจำเป็นที่จะต้องรู้จักเอาไว้เลย เพื่อที่จะทำให้สามารถเฝ้าสังเกตอาการของน้องแมวได้ว่าเป็นโรคนี้หรือไม่ 

FELINE CORONAVIRUS

โรค FIP แมว โรคติดต่อในแมวที่อันตราย และทาสมองข้ามไปไม่ได้อย่างเด็ดขาด

โรค FIP แมว หรือ FELINE INFECTIOUS PERITONITIS เป็นโรคติดต่อในแมวที่จะเกิดการติดเชื้อมาจากที่ระบบภูมิคุ้มกัน เมื่อมีการติดเชื้อจึงทำให้เกิดภาวะหลอดเลือดอักเสบขึ้นมา หากว่าการติดเชื้อเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการติดเชื้อที่อวัยวะใดก็ตาม เชื้อจะต้องส่งผลเสีย และทำลายระบบนั้น ๆ ซึ่งโรคนี้จะพบได้บ่อยว่ามักจะมีการติดเชื้อที่บริเวณช่องอก, ตา หรือว่าระบบประสาท อย่างไรก็ตามโรคนี้มีสาเหตุหลักมากจากการที่น้องแมวติดเชื้อไวรัสโคโรน่าในแมว หรือ FCOV นั่นเอง

สำหรับการที่แมวติดเชื้อ FELINE CORONAVIRUS แล้ว ก็นับว่าเป็นอันตรายต่อชีวิตของน้องแมวมาก ๆ โดยเฉพาะในลูกแมวที่มีแนวโน้มว่าจะติดเชื้อไวรัสชนิดนี้มากเป็นพิเศษ ยิ่งลูกแมวต้องอาศัยรวมกันกับแมวตัวอื่น ๆ ด้วยแล้ว โอกาสที่จะติดเชื้อก็จะมีสูงมากขึ้นไปอีก

อาการของแมวที่ป่วยเป็น โรค FIP แมว 

ในส่วนของอาการแมวที่เป็น โรค FIP แมว นั้น ช่วงเริ่มแรกอาการจะมีความคล้ายคลึงกับการเป็นโรคอื่น ๆ ของแมว โดยแมวบางตัวอาจจะมีอาการขึ้นมาแบบกะทันหัน สำหรับอาการที่เกิดขึ้นก็เป็นผลที่มาจากเรื่องของระบบภูมิคุ้มกัน ซึ่งอาการของแมวที่เป็นโรคนี้ก็สามารถแบ่งได้ 2 แบบ ก็คือ แบบเปียก (EFFUSIVE FORM) และแบบแห้ง (NON- EFFUSIVE FORM) ทั้งนี้อาการทั้งสองแบบนี้จะไม่มีการแสดงออกมาให้เห็นอย่างชัดเจนนัก แต่มักจะมารู้ในช่วงที่แมวแสดงอาการที่รุนแรงออกมาแล้ว

สำหรับแมวที่มีอาการแบบเปียก จะสามารถสังเกต และรู้ได้จากการที่ในช่องท้องของน้องแมวจะมีของเหลวสะสมอยู่ โดยเป็นผลที่เกิดขึ้นมาจากการอักเสบของหลอดเลือด ซึ่งจะสังเกตได้เลยว่าน้องจะมีช่องท้องที่ขยายใหญ่ขึ้น และนอกจากนั้นก็จะมีอาการหายใจลำบาก, หายใจเร็ว และมีความผิดปกติของการเต้นที่หัวใจของน้องแมวด้วย อย่างไรก็ตาม อาจจะพบว่าน้องแมวบางตัวจะมีของเหลวที่ช่องอกด้วย 

FIP

ส่วนแมวที่มีอาการแบบแห้ง จะสามารถสังเกต และรู้ว่าน้องแมวติดเชื้อได้ยากกว่าแบบเปียก เนื่องจากว่าในช่องท้องของน้องแมวไม่ได้มีของเหลวสะสมอยู่ แต่อาจจะพบว่ามีก้อนผิดปกติเกิดขึ้นมาในช่องท้องแทน โดยเป็นก้อนที่เกิดขึ้นมาจากภูมิคุ้มกันที่ร่างกายสร้างขึ้นร่วมกันกับสารประกอบบนผนังหลอดเลือด และยังประกอบเข้ากับเซลล์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องด้วย จึงทำให้เกิดเป็นกระบวนการอักเสบในท้องแมวขึ้นมานั่นเอง นอกจากนั้นก็จะมีอาการอื่น ๆ ที่ไม่จำเพาะเกิดขึ้นด้วย เช่น ซึม, เบื่ออาหาร, ม่านตาอักเสบ ฯลฯ

แม้ว่าอาการของโรคนี้จะแบ่งออกได้เป็น 2 แบบก็ตาม แต่ก็ไม่ใช่ว่าน้องแมวจะมีอาการเพียงแบบเดียวเท่านั้น เพราะในแมวบางตัวก็สามารถแสดงอาการได้จากทั้งสองรูปแบบพร้อมกันเลย นอกจากอาหารทั้ง 2 แบบนี้แล้ว น้องแมวที่ป่วยเป็นโรคนี้ก็มักจะมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น มีไข้, น้ำหนักลด, เบื่ออาหาร, ตัวร้อน, เหงือกมีลักษณะสีขาวซีดหรือมีสีเหลือง และอาจจะมีอาการอีกหลายอย่างเกิดขึ้น ทั้งนี้หากสงสัยในอาการที่น้องแมวเป็นแล้วไม่แน่ใจว่าเป็นโรคนี้หรือเปล่า ก็ควรรีบพาน้องไปพบสัตวแพทย์โดยด่วน

ทาสแมวควรรู้ไว้ FIP แมว ติดต่อทางไหน บ้าง และจะรู้ได้อย่างไรว่าแมวติดเชื้อแล้ว

การติดเชื้อของ โรค FIP แมว จะเกิดขึ้นจากแมวสู่แมว แต่จะไม่ติดเชื้อมายังคน โดยส่วนใหญ่แล้วแมวที่มักจะติดเชื้อ ก็คือ แมวเด็ก หรือแมวที่มีอายุน้อยกว่า 2 ปี รวมถึงแมวที่มีปัญหาด้านระบบภูมิคุ้มกัน อีกทั้งยังพบการติดเชื้อมากในน้องแมวที่เป็นเพศผู้ที่ยังไม่ได้เข้ารับการทำหมัน และแมวที่เป็นพันธุ์แท้ ปกติแล้วเชื้อไวรัสของโรคนี้จะมีการฟักตัวแตกต่างกันออกไปในแมวแต่ละตัว ซึ่งมักจะมีการฟักตัวตั้งแต่ระยะเวลาเป็นสัปดาห์ไปจนถึงระยะเวลาเป็นปีได้เลย หลังจากที่น้องแมวได้รับเชื้อมาแล้วในครั้งแรก

อย่างไรก็ตาม อันที่จริงแล้วเรื่องการติดต่อของเชื้อไวรัสในโรคนี้ ยังไม่ได้ทราบอย่างแน่ชัดว่ามีการติดต่อกันอย่างไร แต่เชื่อว่าการติดต่อเกิดการขึ้นมาจากการกลายพันธุ์ของเชื้อโคโรนาไวรัสจากลักษณะปกติที่มีความรุนแรงมากขึ้นในตัวแมว ซึ่งแมวแต่ละตัวก็ตอบสนองต่อเชื้อไวรัสไม่เท่ากัน ทั้งนี้หากว่าเชื้อไม่ได้มีการกลายพันธุ์ก็อาจจะทำให้น้องแมวไม่ได้เป็นโรคนี้ก็ได้ แต่อย่างไรแล้วการหลีกเลี่ยงไม่ให้น้องแมวเสี่ยงติดเชื้อก็ถือว่าเป็นวิธีที่ดีที่สุด ทั้งนี้หากจะรู้ได้ว่าแมวเป็นโรคนี้หรือไม่ ก็ต้องสังเกต และพาไปพบแพทย์

FCOV

วิธี รักษา FIP แมว จะต้องทำอย่างไร แล้วค่ารักษาแพงมากไหม

ปัจจุบันนี้การรักษา โรคเยื่อบุช่องท้องอักเสบในแมว ยังเป็นการรักษาแบบตามอาการ เพื่อช่วยพยุงอาการของน้องแมวเท่านั้นเอง แต่อย่างไรก็ตาม ก็ได้มีการคิดค้น และพัฒนายาต้านไวรัสมาใช้ในแมวที่ป่วยเป็นโรคนี้กันอยู่ ซึ่งยาบางตัวก็รักษาได้ผล แต่ยาบางตัวก็ให้ผลการรักษาที่น่าพึงพอใจเลย แต่ทั้งนี้ก็แลกมากับราคายา และ ค่ารักษา FIP แมว ที่ค่อนข้างสูงเลย โดยมีแนวทางการรักษาโรค FIP ในแมว ก็มีดังนี้

  1. การให้ยากลุ่ม ANTIVIRAL DRUGS โดยยากลุ่มนี้จะมีกลไกการทำงาน 2 ประเภท คือ การออกฤทธิ์ต่อ CELLULAR MACHINERY ที่จะทำหน้าที่ในการขัดขวางการจำลองตัวของไวรัส และจะเป็นการออกฤทธิ์ต่อกลไกอื่น ๆ ที่ส่งผลต่อการจำลองตัว และการแพร่ของไวรัสด้วย ซึ่งนอกจากนั้นแล้วยากลุ่มนี้ยังช่วยลดการอักเสบให้กับแมวได้อีกด้วย
  2. การให้ยากลุ่ม ANTI-INFLAMMATORY และ IMMUNOSUPPRESIVE DRUGS เช่น ยา CYCLOPHOSPHAMIDE เป็นตัวยาที่นำมาใช้รักษาเพราะหวังว่าจะช่วยลดการอักเสบ และช่วยตอบสนองจากภูมิคุ้มกัน รวมถึงช่วยลดอาการทางคลินิก
  3. การให้ยากลุ่ม IMMUNE MODULATOR เป็นยากลุ่มที่จะช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน ซึ่งเป็นยากลุ่มที่มีการใช้อย่างแพร่หลายเลย เพราะสามารถช่วยลดความรุนแรงของอาการที่เกิดขึ้นในแมวได้ดี ซึ่งจะให้ผลได้ดีมากขึ้นเมื่อใช้ร่วมกับยาที่อยู่ในกลุ่ม CORTICOSTEROIDS 
  4. NON-SPECIFIC IMMUNOSTIMULANT DRUGS เป็นยากลุ่มที่ใช้กระตุ้นภูมิคุ้มกันแบบไม่จำเพาะ ซึ่งยาตัวนี้มีการนำมาใช้อย่างแพร่หลายมาร่วมทศวรรษแล้ว ยากลุ่มนี้สามารถช่วยลดความรุนแรงของโรคนี้แบบแห้งได้ รวมถึงช่วยยืดระยะเวลาในการดำรงชีวิตของแมวได้ด้วย 
  5. การรักษาแบบพยุงอาการอื่น ๆ โดยการรักษาด้วยการพยุงอาการนี้ จะมีการรักษาในหลายรูปแบบ เช่น การเจาะดูดของเหลวออกมาจากช่องท้องที่อักเสบหากว่าแมวมีอาการแบบเปียก หรือการให้ยาปฏิชีวนะถ้าเกิดว่าน้องแมวมีอาการการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน รวมถึงยังมีการให้สารอาหาร หรือวิตามินบำรุงอื่น ๆ ที่เหมาะสมร่วมด้วย

FIP แมว ป้องกัน ได้อย่างไรบ้าง สิ่งที่ต้องรู้ไว้ เพื่อให้แมวห่างไกลจากโรคนี้

มาถึงในส่วนของการป้องกันน้องแมวให้ห่างไกลจาก โรค FIP แมว กันบ้าง เนื่องจากว่าปัจจุบันนี้ยังไม่ทราบแน่ชัดว่าการติดต่อกันของเชื้อนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร การป้องกันที่ดีที่สุดให้น้องแมวห่างไกลจากโรคนี้ได้ ก็คือ การรักษาความสะอาดภายในบ้าน หรือบริเวณที่น้องแมวอาศัยอยู่ รวมถึงจะต้องหมั่นทำความสะอาดกระบะทรายของแมวให้สะอาดอยู่เสมอด้วย อีกทั้งควรที่จะทำการวางชามอาหารของน้องแมวที่ป่วยแยกกับแมวที่ไม่ป่วยด้วย ที่สำคัญควรเลี้ยงแมวให้ไม่มีความเครียด และมีสุขภาพที่ดี

นอกจากที่จะต้องให้ความสำคัญเรื่องความสะอาดแล้ว น้องแมวควรจะได้รับวัคซีนด้วย โดยเฉพาะลูกแมว หรือแมวที่มีอายุไม่เกิน 2 ปี สำหรับวัคซีนที่ควรจะได้รับ ก็มี วัคซีนโรคหวัดแมว, วัคซีนไวรัสโรคไข้หัดในแมว และ วัคซีนไวรัสมะเร็งเม็ดเลือดขาวในแมว ซึ่งสำหรับ วัคซีน FIP แมว ไม่ได้ถูกจัดให้อยู่ในวัคซีนหลักที่ลูกแมวควรฉีด หากว่าต้องการให้น้องแมวฉีดวัคซีนนี้ด้วย ก็จำเป็นต้องปรึกษา และตามคำแนะนำของสัตวแพทย์ก็จะดีกว่า

แมวท้องใหญ่เกิดจากอะไร คือสัญญาณเตือนว่าเป็น โคโรน่าไวรัสในแมว หรือเปล่า

อาการท้องบวม หรือท้องใหญ่ในแมว จริง ๆ แล้วเป็นสัญญาณเตือนได้ในหลาย ๆ โรค รวมถึง โรค FIP แมว ด้วย โดยอาการที่เกิดขึ้นนี้อาจจะเกิดขึ้นแบบฉับพลัน หรือแบบที่ค่อย ๆ แสดงอาการออกมาเรื่อย ๆ ทีละน้อย แต่ไม่ว่าจะมีอาการที่แสดงออกมามาก หรือน้อยแค่ไหนก็ตาม การที่แมวเข้าสู่ภาวะท้องป่อง ก็จะเป็นที่จะต้องรีบพาไปเข้ารับการรักษากับสัตวแพทย์ทันที เนื่องจากถือว่าเป็นอาการที่รุนแรง ซึ่งแมวควรได้รับการวินิจฉัยโรคอย่างเร็วที่สุด

อย่างไรก็ตาม หากสงสัยว่าน้องแมวของคุณเป็นโรค FIP หรือไม่ ก็ให้สังเกตจากอาการที่เป็น ถ้ามีอาการต่าง ๆ ตามที่กล่าวไว้ในข้างต้นก่อนหน้านี้ ก็ให้สงสัยไว้เลยว่าแมวของคุณอาจจะเป็นโรคนี้ก็ได้ ซึ่งไม่ควรรีรอว่าอาการจะดีขึ้น ควรรีบพาน้องแมวไปเข้ารับการตรวจรักษาทันทีตั้งแต่เนิ่น ๆ เพื่อให้สามารถรักษาได้อย่างทันท่วงที และไม่ทำให้น้องแมวด่วนจากเราไปโดยที่ไม่รู้ตัว guscats.com

บทความเพิ่มเติ่ม

Categories
สาระน่ารู้เกี่ยวกับแมว สุขภาพ

ฟันแมว สิ่งสำคัญที่ทาสแมวต้องดูแลสุขภาพช่องปากให้ดี

ฟันเป็นอวัยวะที่มีความสำคัญต่อสัตว์ทุกชนิดเนื่องจากใช้ในการบดเคี้ยวอาหาร หากไม่มีฟันการรับประทานอาหารก็จะทำได้ยากมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมันเกิดขึ้นกับสัตว์เลี้ยงอย่างแมว การดูแลฟันแมวและการดูแลสุขภาพช่องปากนั้นจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ทาสแมวควรใส่ใจ แต่จะมีวิธีการใดบ้างเราจะพาทุกคนไปดูกัน

cat health

เปิดวิธีการดูแลสุขภาพช่องปากแมวอย่างไรให้ฟันแข็งแรง 

  1. ตรวจสุขภาพเป็นประจำ การตรวจสุขภาพให้สัตว์เลี้ยงนั้นไม่ได้หมายถึงการตรวจสุขภาพธรรมดาทั่วไป แต่เรายังต้องตรวจสุขภาพฟันแมวอีกด้วย เพื่อเช็คว่าสุขภาพแมวในองค์รวมยังคงแข็งแรงปลอดภัยดีอยู่หรือไม่ สัตวแพทย์จากตรวจภายในช่องปากเบื้องต้น หากสัตว์เลี้ยงของเราดูก็อาจจะต้องมีการวางยาสลบหรือยาซึมเพื่อให้สามารถตรวจสอบได้อย่างละเอียดมากขึ้นกว่าเดิม โดยเราควรพาสัตว์เลี้ยงไปตรวจเป็นประจำทุก 6 เดือนหรือ 1 ปีรวมไปถึงการขัดหินปูน 
  2. แปรงฟันอยู่เสมอ เราควรแปรงฟันให้กับแมวของเราเป็นประจำเหมือนกับที่เราแปรงฟัน โดยสามารถแปรงฟันได้ประมาณสัปดาห์ละ 2-3 ครั้งก็จะช่วยดูแลสุขภาพช่องปากให้พวกเขามีฟันที่แข็งแรง ไม่ควรใช้ยาสีฟันของมนุษย์กับสัตว์เลี้ยงเนื่องจากกลิ่นและรสชาติไม่เป็นที่ชื่นชอบของพวกเขา นอกจากนี้ยังต้องล้างออกไม่ใช่กลืนลงไป เราจึงควรเลือกใช้ยาสีฟันสำหรับสัตว์เลี้ยงโดยเฉพาะ 
  3. ใช้น้ำยาลดคราบหินปูน หากแมวของเราเกิดคราบหินปูนนั้นจะทำให้ดูแลได้ยากเป็นอย่างมาก เนื่องจากการขูดหินปูนในแมวจะต้องทำการวางยาสลบเลยทีเดียว เราจึงควรป้องกันด้วยการใช้น้ำยาลดคราบหินปูนแบบน้ำผสมในน้ำดื่มหรือจะใช้แบบเจลป้ายฟันก็ได้เช่นเดียวกัน
  4. ของเล่นขัดฟัน ของเล่นที่แมวของเราชื่นชอบกัดเล่นมีบางรูปแบบที่สามารถลดอาการเหงือกอักเสบรวมไปถึงหินปูนได้เป็นอย่างดี หากสัตว์เลี้ยงของคุณไม่มีปัญหาเป็นโรคปริทันต์ก็สามารถให้เล่นของเล่นเหล่านี้เพื่อลดการเกิดคราบหินปูนได้ 
cat health1

อาหาร ตัวช่วยในการดูแลสุขภาพช่องปากของแมว 

ทราบหรือไม่ว่าอาหารนั้นสามารถดูแลสุขภาพฟันแมวรวมไปถึงสุขภาพช่องปากของพวกเขาได้ด้วย ไม่เพียงเท่านั้นยังช่วยให้สุขภาพแมวดีอีกต่างหาก เราควรเลือกใช้อาหารเม็ดที่สามารถลดคราบจุลินทรีย์ได้มากกว่าอาหารเปียก เนื่องจากขนาดและผิวสัมผัสของอาหารเม็ด จะช่วยให้สัตว์เลี้ยงของเราได้เคี้ยว เมื่ออาหารสัมผัสกับฟางก็จะสามารถลดการสะสมของคราบหินปูนและจุลินทรีย์บนผิวฟันได้เป็นอย่างดี guscats.com

บทความเพิ่มเติม