Categories
สุขภาพ

วิธีการรักษาเชื้อราแมว แก้ปัญหาได้อย่างไรบ้าง?

คำพูดที่ว่า “การไม่มีโรค เป็นลาภอันประเสริฐ” สามารถใช้ได้ทั้งกับสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ที่นอกเหนือจากคนด้วย อย่างเช่น “แมว” โรคหนึ่งที่ทาสแมวพึงปรารถนาอย่างยิ่งว่าไม่อยากให้เกิดขึ้น นั่นก็คือ โรคเชื้อราแมว เพราะกว่าจะรู้ว่าแมวติดเชื้อ ทำการรักษาก็นานเกินควรแล้ว ยิ่งทราบว่าแมวติดเชื้อช้า ก็ทำให้ระยะเวลาในการรักษาล่าช้าตามไปด้วย

วิธีการรักษาเชื้อราแมว ทำได้หลายวิธีมาก อยู่ที่กำลังทรัพย์ และความสามารถของผู้เลี้ยงด้วย

วิธีการรักษาเชื้อราแมว แก้ปัญหาได้อย่างไรบ้าง?

แม้ว่าแมวที่เลี้ยงไว้จะมีเชื้อราแมวเกิดขึ้นแล้วก็ตาม ไม่ต้องกังวลใจไปมาก เพราะถึงอย่างไรก็มีวิธีการรักษาให้เชื้อราหายไป หรือ พอจะบรรเทาลงได้ ซึ่งก็พอจะมีหลายวิธี ได้แก่

  1. รักษาด้วยตนเอง เริ่มทำความสะอาดแมวโดยการตัดขนบริเวณที่เป็นเชื้อราออกก่อน จากนั้นทายาให้ ซึ่งยาที่ใช้อาจจะต้องเข้าไปปรึกษาสัตวแพทย์อีกทีก่อนเพื่อความชัวร์ว่า เราจะสามารถใช้ยาชนิดนี้กับน้องเหมียวได้ หรือ อาจจะลงทุนหน่อยซื้อเครื่องฆ่าเชื้อสำหรับสัตว์เลี้ยงกำจัดกลิ่นยับยั้งแบคทีเรียมา ก็ต้องใช้ทรัพย์นิดหนึ่งในส่วนนี้ หรืออีกวิธีคือการใช้สมุนไพร ถ้าพูดไปทุกคนต้องอ๋อแน่ เพราะมีสรรพคุณในการลดผดผื่นต่าง ๆ (ถ้าใช้กับคนนะ) นั่นก็คือ ขมิ้น เมื่อนำมาใช้กับแมวก็ทำการฝนขมิ้นเหมือนที่จะใช้กับคนเลย แล้วพอกเข้าไปที่ตัวของแมว แม้ว่าสีอาจจะดูเปลี่ยนไป แต่ก็ช่วยในการรักษาเชื้อราได้เป็นอย่างดี
  2. รักษาด้วยสัตวแพทย์ ให้แจ้งกับทางคุณหมอไปว่านำน้องมารักษาโรคทางผิวหนัง แล้วแพทย์ก็จะวินิจฉัยก่อน จากนั้นจะทำการรักษาซึ่งแต่ละตัวก็จะรักษาแตกต่างกันไปอยู่ที่ระดับความรุนแรงของเชื้อราด้วย นั่นหมายความว่า ระยะเวลาในการรักษาของแมวแต่ละตัวจะไม่เท่ากัน

แต่ต้องระวังไว้ ขอเตือน เพราะเชื้อราเจ้าเหมียวสามารถติดต่อกับคนได้

หากเหล่าบรรดาทาสทั้งหลายที่เลี้ยงแมวแล้วเกิดติดเชื้อราแมว ไม่ต้องแหลกใจเพราะเชื้อราของแมวสามารถติดต่อสู่คนได้ด้วยการสัมผัส ซึ่งหากน้องเหมียวเป็นเชื้อรามา แล้วมากัด มาเลีย ก็ทำให้ติดต่อได้เช่นเดียวกัน เพราะงั้นต้องป้องกันตัวเองให้ดี เช่น

  • ทำความสะอาดมือหลังสัมผัสน้องเหมียวให้สะอาด
  • ระวังน้องเหมียวกัด โดยเฉพาะบริเวณที่เป็นแผล เพราะเชื้อสามารถเข้าสู่ร่างกายได้เร็ว
  • หมั่นทำความสะอาดน้องเหมียวเป็นประจำ ทั้งตัดเล็บของน้องไม่ให้สามารถข่วนเจ้าของได้

นี่ก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งของแนวทางการป้องกันเท่านั้น อย่างไรก็ตามทาสท่านใดที่มีน้องเหมียวเป็นเชื้อรา ต้องรีบทำการรักษารวมทั้งอย่าลืมป้องกันตัวเองด้วยนะ

Categories
สาระน่ารู้เกี่ยวกับแมว

ช่วงเวลาในการติดสัดของแมวและวิธีรับมือการติดสัด

“การติดสัด” หรือ การเจริญพันธุ์ที่ต้องหาคู่ของเหล่าสัตว์เลียง โดยเฉพาะที่เกิดขึ้นกับแมว เป็นเรื่องที่น่าปวดหัวของบรรดาเจ้ามนุษย์ทาสเป็นอย่างยิ่ง เพราะถ้าปิดบ้านไม่สนิท หรือ ปล่อยเลี้ยงแบบระบบเปิด มีตามหากันหัวหมุนแน่ เพราะเจ้าเหมียวจะไม่ยอมอยู่เฉย ๆ เพราะงั้นเราต้องรู้ขอบเขตของช่วงเวลาในการติดสัดของน้องด้วย และหาวิธีรับมือให้ได้

ระยะอายุในการติดสัดของแมวจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่?

สำหรับช่วงอายุของแมวที่จะเริ่มติดสัดนั้น เกิดขึ้นได้ตั้งแต่ 4 – 12 เดือนเลยทีเดียว และในประเทศไทยน้องเหมียวมักจะมีการติดสัดตลอดทั้งปี โดยสามารถแบ่งได้เป็น 5 ระยะและมักจะแสดงพฤติกรรมที่ทำให้รู้ได้เลยว่าน้องเหมียวเริ่มติดสัดแล้ว ดังนี้

  • ระยะก่อนติดสัด ภายใน 2 วันก่อนติดสัด น้องเหหมียวจะมีพฤติกรรมในการใช้หัว หรือ คอไปถูกับสิ่งต่าง ๆ ในบริเวณบ้าน เช่น ถูประตู ถูขาเก้าอี้ เป็นต้น ในช่วงนี้จะยังไม่พบว่าอวัยวะเพศของน้องบวม หรือ มีเลือดออกนะ ซึ่งต่างกับน้องหมามาก
  • ระยะเป็นสัด จะใช้เวลาในการเกิดระยะนี้อยู่ที่ 7 – 9 วัน เลยทีเดียว ซึ่งน้องเหมียวที่เป็นเพศเมียจะเริ่มแสดงอาการร้องเรียกหาตัวผู้ จะชอบนอนหมอบติดกับพื้นและยกก้นขึ้น
  • ระยะพักก่อนที่จะสัดจะกลับมา มีระยะเวลา 8 – 10 วัน โดยน้องเหมียวจะมีพฤติกรรมที่ปกติ ไม่แสดงอาการอื่นใด
  • ระยะหลังผสม ในส่วนของน้องเหมียวที่มีการตกไข่ และจะตั้งท้องเป็นระยะเวลาประมาณ 60 วัน ส่วนที่ต้องท้องจะเรียกว่า “ท้องเทียม” มีระยะเวลา 40 วัน และหลังจากนั้นก็จะกลับมาเป็นปกติ และกลับเข้าสู่ภาวะติดสัดรอบต่อไป
  • ระยะพักภาวะเป็นสัด ในช่วงนี้แมวจะไม่มีพฤติกรรมต้องการผสมพันธุ์นานมาก เป็นเวลา 30 – 90 วันเลยทีเดียว

แนวทางในการรับมือเมื่อเข้าสู่ภาวะติดสัด

  1. พยายามลดความกระสับกระส่ายของแมวเมื่อเห็นว่ามีพฤติกรรมเริ่มเข้าสู่ช่วงการเป็นสัดดังที่กล่าวไว้ข้างต้น เช่น การลูบหัว เล่นกับเหมียว ปลอบ เป็นต้น
  2. หากเลี้ยงไว้ในบ้าน และมีแมวหลายตัว ควรแยกห้อง หรือ แยกกรงไว้ช่วงคราว เพื่อลดแรงกระตุ้น
  3. พยายามทำให้น้องเหมียวมีความรู้สึกสบายตัว เช่น หาที่นอนที่เหมาะกับน้องและทำให้รู้สึกนอนหลับสบายมาให้
  4. ผงกัญชาดับฤทธิ์ (ฮ่า ๆ ) เป็นอีกหนึ่งทางเลือก เพราะผงกัญชาแมว จะช่วยให้แมวมีความรู้สึกสงบ ผ่อนคลาย
  5. ทางเลือกสุดท้ายที่ทำให้หายห่วงที่สุดคือการทำหมัน ซึ่งสามารถพาน้องเหมียวไปทำหมันได้ฟรีในโรงพยาบาลสัตว์ของรัฐ นั่นเอง
Categories
สายพันธ์แมว

“แมวมงคล” ของไทย เลี้ยงไว้รับรองดีแน่นอน !

แมวเป็นสัตว์เลี้ยงอีกชนิดหนึ่งที่ได้รับความนิยมในประเทศไทยรองลงมาจากสุนัข เพราะด้วยมีนิสัยน่ารัก ขี้อ้อน แม้จะเข้าใจยากไปซักหน่อย แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคสำหรับคนรักแมวแต่อย่างใด โดยแมวนั้นมีประวัติศาสตร์ที่อยู่คู่กับคนไทยมาตั้งแต่ในสมัยโบราณ แมวไทยนั้นอีกหนึ่งสายพันธุ์ที่ได้รับความนิยมทั้งในประเทศและต่างประเทศ อีกทั้งยังมีแมวไทยที่มีลักษณะเป็นมงคลตามความเชื่อของคนไทยแต่โบราณมาอีกด้วย หากเลี้ยงไว้รับรองว่าดีแน่นอน

แมววิเชียรมาศ

แมววิเชียรมาศ หรือแมวสยาม ชาวต่างชาติมักจะเรียกขานว่า “Siamese Cat” โดยจะมีสีน้ำตาลเข้มเก้าแห่งในร่างกาย คือ บริเวณหน้า เท้าทั้งสี่ หูทั้งสองข้าง หาง และอวัยวะเพศ ตัวเป็นสีครีม หัวไม่กลมและไม่แหลมจนเกินไป ที่เด่นชัดคือ ดวงตามักจะมีสีฟ้า มีนิสัยขี้อ้อน ช่างพูดช่างคุย ถือเป็นแมวมงคลตามความเชื่อของคนไทย ว่ากันว่าหากเลี้ยงวิเชียรมาศไว้ผู้เลี้ยงมักจะได้มีโชคแบบไม่รู้ตัว และมักสมปรารถนาในสิ่งที่หวังไว้อีกด้วย

แมวโคราช

แมวโคราช หรือ แมวสีสวาด เป็นแมวไทยอีกชนิดหนึ่งที่ได้รับความนิยมอย่างมาก ด้วยลักษณะเฉพาะตัวที่ไม่เหมือนใครอย่างสีตัวออกสีเทา หรือสีน้ำเงินเข้มหรือมีประกายเงินแซมเล็กน้อย ขนสั้น หรือมักจะถูกเรียกว่าสีบลู (Blue) แมวโคราชมีดวงตาสีเขียวสุกใสเป็นประกาย นิสัยของแมวโคราชนั้นเป็นแมวฉลาด รักเจ้าของและกลัวคนแปลกหน้า สามารถเข้ากันได้ดีกับสัตว์ชนิดอื่นๆ ตามความเชื่อแมวโคราชเป็นแมวมงคลที่จะให้ทำเงินทองไหลมาเทมา บ้านมีกินมีใช้ไม่มีหมด อีกทั้งยังทำให้การค้าเจริญรุ่งเรืองอีกด้วย

แมวขาวมณี

เป็นแมวมงคลของไทยที่สามารถพบเห็นได้ง่ายที่สุดในปัจจุบัน มักถูกเรียกอีกชื่อว่า “แมวขาวปลอด” เพราะมีลักษณะขนสั้นสีขาวทั้งตัว จุดเด่นนอกจากสีขาวปลอดทั้งตัวแล้ว ตาทั้งสองข้างจะมีสีไม่เหมือนกัน โดยมีตาสีฟ้าข้าง สีเหลืองอำพันข้าง ซึ่งทำให้หลายคนชื่นชอบแต่ทั้งนี้ก็ยังเป็นจุดบกพร่องของแมวขาวมณีเช่นกัน เพราะอาจทำให้แมวตาบอด หรือเสียประสาทสัมผัสการได้ยินได้เมื่อมีอายุมากขึ้น ตามความเชื่อกันว่า หากเลี้ยงแมวขาวมณีไว้ จะทำให้เจ้าของพ้นภัย และทำให้มีโชคลาภนำมาสู่ผู้เลี้ยง

แมวศุภลักษณ์

หรือ “แมวทองแดง” ชาวต่างชาติมักจะเรียกว่าแมวเบอร์มีส เพราะมีการนำไปพัฒนาสายพันธุ์ในสหรัฐอเมริกา อีกทั้งยังเป็นที่นิยมอย่างมาก มีลักษณะขนสั้นสีน้ำตาลเข้มทั้งตัว หรือออกสีทองแดง มีลักษณะสีเข้มในบริเวณหน้า เท้าทั้งสี ใบหู หางและอวัยวะเพศ (คล้ายกับวิเชียรมาศ) ตาสีออกเหลืองอำพัน หัวกลมเล็กน้อย มีนิสัยซุกซนอยากรู้อยากเห็น รักอิสระ หากเลี้ยงไว้จะทำให้มีชื่อเสียง ยศถาบรรดาศักดิ์ รวมไปถึงการเจรจาค้าขายราบรื่น

โดยแมวมงคลที่เป็นแมวไทย 4 ชนิดข้างต้นนั้น ยังสามารถพบเห็นได้ทั่วไปในประเทศ แต่หากเป็นบางชนิดอย่างเช่น แมวนิลจักร หรือแมววิลาศ บางชนิดที่เป็นแมวมงคลของไทยเช่นกัน แต่สูญพันธุ์ไปแล้ว อย่างไรก็ตามไม่ว่าจะเป็นแมวสายพันธุ์ไหนๆ ก็น่ารักทั้งนั้น แค่เจ้าของเลี้ยงด้วยความรัก ความผูกพัน ใส่ใจดูแลเท่านี้ก็จะทำให้มีความสุขทั้งเจ้าของเองและสัตว์เลี้ยงด้วย

Categories
สุขภาพ

ง่ายๆ แต่ได้ผลด้วยวิธีภูมิปัญญาชาวบ้านโดยสมุนไพรรักษาแมวป่วย

ธรรมชาติของแมวเมื่อรู้สึกจะเจ็บป่วย มักจะไม่แสดงอาการออกมาให้เจ้าของทราบ เว้นเสียแต่ว่าจะมีอาการหนักมากแล้ว หากเจ้าของสังเกตอาการดีๆ อาจทราบได้ว่าแมวจะมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป เช่น อาจจะนอนมากขึ้น หรือไม่ค่อยเล่นซนเหมือนแต่ก่อน บางครั้งอาจจะแค่เบื่ออาหาร แต่เมื่อแมวป่วย การช่วยรักษาอาการเบื้องต้นก่อนที่เจ้าเหมียวจะมีอาการหนัก เจ้าของก็สามารถทำได้ โดยแค่เพียงลองใช้ภูมิปัญญาชาวบ้านแบบง่ายๆ ก็สามารถช่วยทำให้แมวหายจากอาการเจ็บป่วยเล็กๆ น้อยๆ ได้ โดยใช้สมุนไพรพื้นฐาน ดังนี้

สมุนไพรรักษาอาการแมวป่วยที่สามารถหาได้ทั่วไป

  1. น้ำตะไคร้ เป็นพืชประจำบ้านที่ปลูกง่าย หาง่าย มีประโยชน์ทั้งต่อมนุษย์และสัตว์ หากรู้สึกว่าแมวป่วยไม่สบาย ให้เจ้าของนำต้นตะไคร้มา 2-3 ต้น ตัดเฉพาะส่วนของลำต้น ล้างให้สะอาดหั่นเป็นท่อนยาวประมาณ 1 ข้อนิ้ว (หรือ 2-3 เซนติเมตร) และทุบให้พอแตกไม่มาก นำไปต้มในหม้อกับน้ำสะอาด ไม่เกิน 5 นาที จะได้น้ำตะไคร้ที่ต้มสุกแล้วมากรองกับผ้าขาว รอจนเย็น แล้วให้แมวลองกิน จะช่วยให้แมวแข็งแรง ลดอาการหวัด น้ำมูก และลดอาการเบื่ออาหารได้ดีอีกด้วย
  2. ต้นอ่อนข้าวสาลี สมุนไพรพื้นบ้านที่มีประโยชน์กับเจ้าเหมียวอย่างมาก ยิ่งถ้าหากแมวป่วยบาดเจ็บมีแผล ต้นอ่อนข้าวสาลีมีสรรพคุณช่วยสมานแผลได้เป็นอย่างดี ลดการอักเสบ บรรเทาความเจ็บปวดและยังขับพยาธิบำรุงระบบขับถ่ายอีกด้วย ทั้งนี้หากต้นอ่อนข้าวสาลีแก่มีอายุเกินมากกว่า 7 วัน จะทำให้ใบหนาและแข็ง ควรหมั่นเล็มออกเพื่อให้ใบใหม่งอกขึ้นมาจะดีกว่า
  3. ไผ่เงิน ต้นไผ่เงินเป็นอีกหนึ่งสมุนไพรที่ปลูกง่าย ชอบน้ำไม่ต้องการแดดจัด โดยปกติหากแมวจะมีนิสัยรักความสะอาดชอบเลียขนตามเนื้อตัว ทำให้มีเศษขนเข้าไปอุดตันในร่างกายเป็นก้อนขน หากสะสมนานวันเข้าอาจส่งผลให้แมวป่วยได้ ต้นไผ่เงินจะช่วยทำให้แมวขับก้อนขนออกมาไม่ว่าจะทางการขับถ่าย หรืออ้วกออกมาก็ตาม ทั้งนี้ยังช่วยลดอาการระคายเคืองในกระเพาะอาหารของเจ้าเหมียวและช่วยให้ลำไส้ไม่อุดตันอีกด้วย
  4. เปเปอร์มินต์ พืชตระกูลมินต์นั้นมีสรรพคุณหลากหลายเหมาะกับทั้งมนุษย์และเจ้าเหมียว มีกลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ซึ่งกลิ่นเหล่านี้จะทำให้แมวรู้สึกผ่อนคลาย อารมณ์ดี สบายใจมากยิ่งขึ้น โดยเปเปอร์มินต์จะทำให้แมวป่วยในเรื่องหวัด มีน้ำมูก มีอาการดีขึ้น อีกทั้งยังช่วยในเรื่องการย่อยอาหาร ทำให้มีความอยากอาหารเพี่มขึ้นได้เช่นกัน

ในปัจจุบันสมุนไพรรักษาแมวป่วยนั้น มีหลากหลายชนิด ทั้งสามารถปลูกเองหรือหาซื้อได้ง่าย หากเจ้าเหมียวยังไม่มีอาการรุนแรง สามารถใช้สมุนไพรพื้นบ้านเหล่านี้เป็นตัวช่วยได้อีกทาง แต่ถ้ายังไม่ดีขึ้น แนะนำให้รีบพาน้องไปหาสัตวแพทย์ใกล้บ้านก่อนจะดีกว่า เพราะไม่ว่าอย่างไรสัตว์เลี้ยงของคุณก็เหมือนคนในครอบครัวที่ต้องใส่ใจดูแลไม่แพ้กัน

Categories
สาระน่ารู้เกี่ยวกับแมว

ทำไมลูกแมวตัวน้อยถึงชอบแทะ ชอบกัดสิ่งของต่างๆ

ลูกแมว ก็เปรียบเสมือนเด็กเล็ก มีดื้อมีซนบ้าง บางทีก็พุ่งเข้ามากัดโดยไม่ทันตั้งตัว โดยพฤติกรรมนี้อาจมองดูเหมือนจะเป็นเรื่องปกติ แต่ถ้าปล่อยนานไปอาจส่งผลให้เป็นภัยต่อตนเองและคนรอบข้างที่มาเล่นกับน้องเหมียวได้นะ ก่อนจะไปหาวิธีแก้ไขว่าจะทำยังไงไม่ให้น้องเหมียวพุ่งไปกัดคนอื่น มาดูสาเหตุกันก่อนเลยดีกว่า

เหตุผลที่ลูกแมวชอบกัดชอบแทะคืออะไร?

ลูกแมวชอบแทะ ชอบกัด มีสาเหตุมาจากสิ่ต่าง ๆ ดังนี้

  • เป็นพฤติกรรมที่อยากเล่นโดยทั่วไป เวลาเจออะไรก็อยากจะกัดไปหมด ไม่เพียงแต่สิ่งของเท่านั้น น้องเหมียวจะชอบพุ่งเข้ามากัดนิ้ว หรือ กัดตามร่างกายเจ้าของด้วย
  • ที่กัดเพราะน้องเหมียวอาจจะรู้สึกหงุดหงิด อันเนื่องมาจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น รู้สึกร้อน, รู้สึกหิว หรือไม่ชอบเวลามีแมวตัวอื่นมายุ่ง มากลั่นแกล้ง เป็นต้น
  • เข้ามากัดเจ้าของ หรือคนที่อยู่ใกล้ ๆ เมื่อรู้สึกอยากอ้อน แต่การเข้ามากัดของน้อนเมื่ออยากอ้อนนั้นจะไม่รุนแรงเท่ากับกัดเพราะหงุดหงิด หรือ กัดเพราะอยากเล่น เพราะน้องจะเข้ามากัดแบบเบา ๆ อาจมีเดินวน ๆ ตัวมาถูกไปมา แล้วตามด้วยกัด หรือ ภาษาทาสแมวเรียกว่า “งับแขน, งับขา” นั่นเอง

นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของเหตุผลที่น้องเหมียวชอบกัด ชอบแทะ แต่ด้วยพฤติกรรมดังกล่าว เจ้าของ หรือ คนที่โดนกัดต้องทำความเข้าใจและระวังโรคที่จะตามมาด้วย… หลัก ๆ เลยก็โรคพิษสุนัขบ้า บางคนอาจไม่คิดว่าน้องเหมียวจะมีเชื้อพิษสุนัขบ้าได้ แต่โรคนี้สามารถติดต่อกันได้ทั้งสุนัขและแมวนั่นเอง ซึ่งวิธีการติดต่อของโรคนี้คือการติดผ่านน้ำลาย โดยการกัด, การข่วน หรือ การเลีย ยิ่งถ้าถูกเลียบริเวณที่มีบาดแผล ยิ่งทำให้เชื้อพิษสุนัขบ้าเข้าสู่ร่างกายของน้องเหมียวโดยเร็ว

วิธีป้องกันเมื่อโดนน้องเหมียวกัด หรือวิธีหลีกเลี่ยงเพื่อลดความเสี่ยง

มาดูวิธีการป้องกัน หรือ แก้ไขพฤติกรรมลูกแมวกันดีกว่า ว่าทำอย่างไรให้น้องเหมียวเหล่านี้เลิกกัด, กัดน้อยลด หรือ เลี่ยงเลี่ยงที่จะโดนน้องเหมียวกัด สามารถทำได้ดังนี้

  • หาของเล่นมาให้น้องเหมียว สังเกตว่าน้องชอบเล่นแบบไหน ถ้ากระโดดพุ่งลองหาอะไรที่เป็นดึ๋ง ๆ แล้วโยนเล่นกับน้องหน่อยไหม หรือ สามารถเข้าไปปรึกษาพนักงานร้านขายของเล่นแมวก็ได้ เพื่อที่จะได้ของเล่นที่น้องเหมียวชอบ และสามารถเบี่ยงเบนความสนใจในการกัดเจ้าของ หรือ คนอื่น ๆ ได้
  • ทำให้น้องเหมียวอารมณ์ดี ไม่หงุดหงิด อาจจะสร้างบรรยากาศที่พักของน้องเหมียวให้เย็นสบาย ไม่ร้อน หรือ มีที่ใส่อาหาร พร้อมน้ำวางไว้เวลาน้องเหมียวกระหาย
  • เจ้าของ หรือ คนที่เจะเล่นกับน้องเหมียวก็ต้องพยายามอย่าใช้มือเปล่า ๆ เล่นด้วย อาจมีพันผ้าบ้างเพื่อป้องกันการสัมผัสกับฟัน, เขี้ยว ของน้องและไม่ให้โดนกัดโดยตรงนั่นเอง
Categories
สุขภาพ

อาหารแมวที่เหมาะสมในแต่ละช่วงวัยการเติบโต

ถ้าในบ้านของคุณเลี้ยงแมวหลายตัวและต่างช่วงวัยกัน ทุกตัววัยจะมีกิจกรรมที่ชอบทำต่างกันด้วยทำให้ใช้พลังงานต่างกัน จึงไม่สามารถจะให้อาหารเหมือนกันทุกตัวหรือให้อาหารเหมือนกันตลอดชีวิตได้ อาหารแมวต้องปรับเปลี่ยนตามวัยของน้องแมวที่โตขึ้น

การให้อาหารแมวตามนิสัยการกินของแต่ละวัย

ลูกแมวจะกินอาหารได้หลากหลายเพราะเป็นช่วงวัยที่ใช้ประโยชน์จากอาหารทุกประเภทในการเจริญเติบโต เริ่มจากการให้อาหารเปียกก่อนในช่วงแรก และค่อยๆเป็นอาหารเม็ดแช่น้ำอุ่นให้นิ่มๆจนเปลี่ยนเป็นอาหารเม็ดแบบแห้งเป็นหลัก นิสัยการกินอาหารของลูกแมวจะหกเลอะเทอะ จึงต้องวางแผ่นรองไว้กับชามอาหารใบเล็กที่พอดีตัว

แมวโตเต็มวัย จะกินอาหารได้เองและจะเริ่มเลือกอาหารที่ชอบมากยิ่งขึ้น จะแสดงอาหารเบื่อเมื่อกินอาหารซ้ำๆ การให้อาหารแมวจึงควรปรับเปลี่ยนอาหารไม่ให้จำเจสำหรับแมววัยนี้ และควรเน้นอาหารแคลอรี่ต่ำเพราะแมวโตเรียกร้องที่จะกินเยอะเท่าที่ต้องการ ถ้าเป็นอาหารแคลอรี่สูง จะทำให้เสี่ยงโรคอ้วน

แมวแก่ชรา เป็นวัยที่เริ่มกินอาหารได้น้อยลง กินแต่ละมื้อในปริมาณน้อยแต่บ่อยๆ เพื่อไม่ให้อิ่มเกินไปเพราะระบบการย่อยของแมวชราจะไม่ดีเท่าแมวโตเต็มวัย อีกทั้งเคี้ยวยากเพราะเหงือกและฟันเริ่มสึกหรอ ควรให้อาหารเปียกเป็นหลักสลับอาหารเม็ดเป็นบางครั้ง

คุณประโยชน์และปริมาณอาหารแมวที่เหมาะสม

อาหารลูกแมวจะเน้นสารอาหารโปรตีน วิตามิน แคลเซียม DHA จากเนื้อปลาทุกชนิด ไข่แดง นมแม่/นมเสริม เนื้อสัตว์  ข้าว ผักใบเขียวบด ฟักทองบด กินวันละ 3 มื้อ ปริมาณอาหารแมวต่อน้ำหนักตัว เฉลี่ย 2 กิโลกรัม อยู่ที่ 1/3 ของถ้วย

อาหารแมวโต ควรเป็นอาหารที่ใยอาหารสูงเพื่อการขับถ่ายที่เป็นปกติ ขับถ่ายเป็นก้อน ลดการเกิดก้อนขนและอาหารที่แคลอรี่ต่ำ เพื่อป้องกันโรคอ้วนที่เกิดง่ายในแมววัยนี้  สารอาหารทั้งหมดจะมาจากผักบด เนื้อสัตว์ เนื้อปลา นม ไข่  ข้าว  กินวันละ 2-3 มื้อ  ปริมาณอาหารแมวต่อน้ำหนักตัว เฉลี่ย 3 กิโลกรัม อยู่ที่ 1 ถ้วย  

อาหารแมวชราจะเน้นโปรตีนที่คุณภาพสูง ไขมันน้อยและย่อยง่ายอย่างเนื้อปลาทะเลน้ำเย็น ปลาน้ำจืด หัวบีทบด  ผักใบเขียวและบล็อคโคลี่บด  กินวันละ 2-3 มื้อ ปริมาณอาหารแมวต่อน้ำหนักตัว เฉลี่ย 3 กิโลกรัม อยู่ที่ 1/2-2/3  ของถ้วย

แมวต้องดื่มน้ำสะอาดเท่านั้น

จะแมววัยไหน ก็ต้องการน้ำดื่มสะอาด ซึ่งมีการเข้าใจผิดมานานว่าน้ำประปาสามารถให้แมวกินได้ แต่จริงๆแล้วแมวควรกินน้ำเกรดน้ำดื่มเช่นเดียวกับคนเพราะสุขภาพของน้องแมวบอบบางกว่าคนและในน้ำประปา มีสารคลอรีน ตะกั่วที่ทำร้ายสุขภาพของน้องเหมียวโดยตรง

Categories
สาระน่ารู้เกี่ยวกับแมว

วิธีการเลี้ยงแมวสกอตติชโฟลด์ ให้สุขภาพแข็งแรง

เมื่อรับเจ้าแมวหน้ากลมหูพับ อย่าง พันธุ์สกอตติชโฟลด์มาเลี้ยง  แม้จะดูเลี้ยงง่ายเพราะเป็นแมวน่ารักเหมือนตุ๊กตา ไม่ค่อยร้อง  ขี้เล่น ขี้อ้อน แต่ก็มีสิ่งที่ต้องใส่ใจเหมือนกันเพื่อจะเลี้ยงน้องแมวสกอตติชโฟลด์ให้มีความสุขที่สุด ยิ่งถ้าเป็นมือใหม่หัดเลี้ยงแมวสกอตติชโฟลด์ต้องยิ่งทำเข้าใจวิธีการเลี้ยงแมวอย่างครบถ้วนเลย

แมวสกอตติชโฟลด์ ต้องการโภชนาการแบบไหนนะ

ถ้ารับเลี้ยงสกอตติชโฟลด์ตั้งแต่ยังเป็นลูกแมว ควรรับหลังจากอายุ 1 เดือนเพราะแมวพันธุ์นี้มีจุดอ่อนเรื่องโรคกระดูก จึงควรให้รับภูมิต้านทานและเสริมสร้างกระดูกจากนมแม่อย่างน้อย 45 วัน  วันละ 4 มื้อ และจากนั้นสามารถเสริมนมแพะได้ เมื่ออายุ 3 เดือนก็ให้ทานอาหารเปียกหรือเนื้อสับละเอียด วันละ 3 มื้อ หรืออาจะเสริมนม 1 มื้อแล้วให้อาหาร 2 มื้อก็ได้ จนโตเต็มที่ สามารถให้อาหารเม็ดและเปียก 3 มื้อต่อวัน สารอาหารควรเป็นอาหารเสริมสร้างกระดูก กล้ามเนื้อ ไขมันต่ำและใยอาหารสูง

แมวสกอตติชโฟลด์วัยชรา จะต้องการอาหารน้อยลง ปริมาณ 1-2 ครั้งต่อวันและอาจจะกินได้น้อยในแต่ละมื้อ อาจจะแบ่งเป็น 4 มื้อในปริมาณน้อยก็ได้ สารอาหารที่ต้องการคือ อาหารไขมันต่ำ คาร์โบไฮเดรตต่ำ มีวิตามินสูง เนื้อไม่ติดมัน

แมวสกอตติชโฟลด์ที่ตั้งท้อง ควรให้อาหารที่มีไขมันสูงขึ้น เพื่อให้ในการหล่อเลี้ยงลูกน้อยในท้องและเพื่อสำรองผลิตน้ำนมเมื่อแรกคลอด แต่เปลี่ยนสูตรอาหารแมวท้องโดยไม่ต้องเพิ่มปริมาณเพราะย่อยยากขึ้นและเสี่ยงน้ำหนักเกินเกณฑ์หลังคลอด เนื่องจากแมวพันธุ์นี้มีสรีระอ้วนง่าย

ดูแลความสะอาดให้สกอตติชโฟลด์ดีๆล่ะ

ความสะอาดสำคัญกับวิธีการเลี้ยงแมวทุกสายพันธุ์ สกอตติชโฟลด์ก็เช่นกัน แต่ว่าสกอตติชโฟลด์เป็นแมวที่ดูแลรักษาความสะอาดง่าย เป็นแมวที่ไม่ชอบเล่นเลอะเทอะ  เพียงแต่ชอบเล่นของเล่นและเล่นกับเจ้าของเท่านั้น แต่มีจุดที่ต้องดูแลพิเศษคือ หู เพราะสกอตติชโฟลด์มีทั้งหูพับและหูตั้ง ถ้าหูพับ จะต้องดูแลความสะอาดในหูให้ดี หมั่นเช็ดใบหูและในช่องหู ที่อาจจะสะสมสิ่งสกปกรกที่สังเกตเห็นได้ยากกว่าหูตั้ง

การอาบน้ำควรอาบสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง ตัดเล็บทุก 2 สัปดาห์ และแปรงขนทุก 3 วัน เนื่องจากสกอตติชโฟลด์ ผลัดขนบ่อยพอสมควร จึงอาจจะขนร่วงมากและเกิดโรคก้อนขนอุดตันได้

โรคภัยของสกอตติชโฟลด์ ที่ต้องดูแล

ความเสี่ยงด้านโรคภัยของสกอตติชโฟลด์ ในโรคหัวใจ โรคหัดแมว เอดส์แมว จะมีไม่สูง แต่ที่มีโอกาสเสี่ยงสูงคือ โรคกระดูกข้อต่อ ที่ถ่ายทอดมากับยีนส์หูพับ ถึงแม้เป็นแมวสกอตติชโฟลด์หูตั้งก็ยังอาจจะเป็นโรคเกี่ยวกับกระดูกได้เช่นกันเพราะยีนส์หูพับอาจจะอยู่ในร่างกายตามกรรมพันธุ์ จึงควรดูแลอาหารที่เสริมสร้างกระดูก และควบคุมน้ำหนักให้กระดูก ไม่รับน้ำหนักมากจนเกินไป

Categories
ลูกแมวในฟาร์ม

สัญญาณอันตรายที่บ่งบอกว่าลูกแมวของคุณกำลังป่วย

สัญญาณอันตรายที่บ่งบอกว่าลูกแมวของคุณกำลังป่วย

คงไม่มีแม่แมวคนไหนที่ต้องการให้ลูกแมวที่ตัวเองเลี้ยงไว้ป่วย ดังนั้นวิธีการป้องกันอันดับแรกก็คือ คุณจะต้องฉีดวัคซีนให้ครบทุกเข็มตามที่สัตวแพทย์แนะนำ คุณจะต้องนำลูกแมวของคุณไปตรวจสุขภาพเป็นประจำ ไปจนถึงคุณจะต้องพยายามลดความเสี่ยงทุกอย่างที่อาจทำให้ลูกแมวของคุณป่าวย หรือไม่สบาย ไม่ว่าจะเป็นอากาศที่หนาวเย็นเกินไป หรือหลังจากอาบน้ำลูกแมวทุกครั้งจะต้องมั่นใจว่าคุณได้เช็ดตัว หรือเป่าขนลูกแมวจนแห่งสนิททุกครั้ง แต่แน่นอนว่าคุณก็ไม่สามารถป้องกันลูกแมวไว้ได้ทุกครั้ง แต่คุณจะรู้ได้อย่างไรว่าลูกแมวของคุณกำลังป่วย หรือ มีอาการที่น่าเป็นห่วง ลองสังเกตุดูว่าลูกแมวของคุณมีอาการเหล่านี้หรือไม่ ถ้าใช่ ก็เตรียมตัวพาลูกแมวของคุณไปหาหมอได้เลย

อาการของลูกแมวป่วย ที่คุณจะต้องใส่ใจ

สัญญาณอันตรายที่บ่งบอกว่าลูกแมวของคุณกำลังป่วย

ลูกแมวแต่ละสายพันธุ์อาจจะมีความเสี่ยงในการป่วยที่ไม่เหมือนกันอย่างเช่น ลูกแมวสายพันธุ์บริชติช ช็อตแฮร์ ที่อาจมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคหัวใจได้ง่าย คุณก็ควรจะต้องระวังเรื่องอาหารการกินของมันให้ดี ควบคุมน้ำหนัก และให้มันออกกำลังกายอยู่เสมอ หรือ อย่างลูกแมวอเมริกัน ช็อตแฮร์ ที่มักจะมีปัญหาโรคผิวหนัง คุณก็ต้องหมั่นรักษาความสะอาด หรือมั่นหวีขนให้มันอยู่เสมอ เพื่อหลีกเลี่ยงอาการของลูกแมวป่วย เป็นต้น ซึ่งโดยปกติของลูกแมว มักจะมีความซุกซน ร่าเริงถึงแม้ว่าจะเป็นสายพันธุ์ที่ค่อนข้างเรียบร้อย ลูกแมวควรกินอาหารและน้ำได้เป็นปกติ

สัญญาณอันตรายที่บ่งบอกว่าลูกแมวของคุณกำลังป่วย

แต่! หากลูกแมวของคุณ เซื่องซึมผิดปกติ กินอาหารหรือน้ำได้น้อยลง แม้ว่าคุณจะเสริฟอาหารจานโปรดให้พวกมันแล้วก็ตาม ลูกแมวของคุณมีการขับถ่ายผิดปกติ อาจมีการขับถ่ายเหลวเกินไป หรือแข็งเกินไป หรือแม่แต่ไม่ยอมขับถ่าย อุจาระ หรือปัสสาวะมีเลือดปน ขนของลูกแมวร่วงผิดปกติ หรือแข็งตั้งผิดปกติ สุดท้ายหากลูกแมวของคุณมีสีเหงือกที่เปลี่ยนไป มีอาการตัวร้อน หนาวสั่น และเซื่องซึม คุณควรพาลูกแมวของคุณไปพบสัตวแพทย์ทันที เพราะอาการเหล่านี้เป็นอาการของลูกแมวป่วย หรือ บ่งบอกว่าพวกมันมีอาการที่ผิดปกติ

การดูแลสุขภาพของลูกแมวไม่ใช่เรื่องยาก นั่นก็เหมือนกับการที่คุณได้ตัดสินใจแล้ว่าคุณต้องการที่จะรับลูกแมวเข้ามาเลี้ยงในบ้าน คุณก็จะต้องยอมรับว่าคุณพร้อมที่จะให้ความใส่ใจ ให้เวลา และแน่นอนคุณจะต้องให้สุขภาพที่ดีกับลูกแมวของคุณด้วย เราเชื่อว่าแม่แมวทุกคนก็ย่อมอยากให้ลูกแมวของตัวเองเป็นแมวที่แสนน่ารัก ร่าเริง และมีสุขภาพที่ดี เพื่อจะได้อยู่กับคุณไปนานๆ

Categories
สุขภาพ

ให้อาหารแมวแบบไหนดี จึงจะเหมาะสมกับแต่ละช่วงวัย

การเลี้ยงแมว ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดคือการให้อาหาร นั่นเพราะว่าเป็นขั้นตอนที่ส่งผลต่อการเจริญเติบโตของแมวโดยตรง ซึ่งคุณภาพอาหารที่คุณให้น้องเหมียวนั้น จะมีผลต่อรูปร่าง สุขภาพขน สุขภาพกล้ามเนื้อ การขับถ่ายของเจ้าแมวน้อย จึงควรเลือกให้เหมาะสมทั้งสัดส่วนโภชนาการที่ในแต่ละช่วงวัย  ถ้าทาสแมวมือใหม่ยังงงๆกับการเลือกอาหารแมวและวิธีการให้อาหารแมว บทความนี้มีคำตอบ

ควรให้อาหารแมวเปียกหรืออาหารแมวแห้งดี

ถ้ากำลังหนักใจว่าจะเลือกให้อาหารแมวแบบเปียกหรือแบบแห้งกับแมวของเราดี ควรดูจากลักษณะนิสัยการกินของเจ้าเหมียวเป็นหลัก ถ้าเป็นแมวที่กินน้ำน้อย ควรให้อาหารเปียก ที่มีปริมาณน้ำในอาหารมากกว่าแบบแห้งเพื่อให้เจ้าเหมียวได้รับน้ำเข้าสู่ร่างกาย ขณะเดียวกันถ้าแมวไม่มีปัญหาการดื่มน้ำ แต่ทานบ่อย ควรให้เป็นอาหารเม็ดแบบแห้งจะสะดวกกว่าเพราะเทไว้ให้เจ้าเหมียวในขามอาหารโดยอาหารเม็ดจะไม่เสียรสชาติ เมื่อผ่านไปเป็นชั่วโมงเหมือนอาหารเปียก

ให้อาหารแมวเป็นเวลาหรือให้กินแบบอิสระดี

เหมือนเป็นจุดเล็กๆที่ไม่สำคัญแต่สำคัญมากทีเดียว คือ วิธีการให้อาหาร เพราะจุดนี้จะส่งผลต่ออุปนิสัยการกินของแมว แนะนำว่าควรเลือกให้อาหารเป็นเวลา จะเป็นวิธีที่ดีกว่า นั่นเพราะว่า จะสามารถควบคุมปริมาณอาหารให้เหมาะสมตามที่ร่างกายของแมวต้องการได้ ไม่เสี่ยงต่อโรคอ้วนและคุณสามารถรู้ได้ว่าแมวกินอาหารมากขึ้นหรือน้อยลงในแต่ละวันเพราะมีการวัดตวงเทียบกับปริมาณที่แมวกินเหลือ โดยวิธีนี้จะต้องวัดตวงปริมาณให้เหมาะกับความต้องการของแมวให้อิ่มพอดีด้วยนะ แต่ถ้าหากใครกลัวว่าปริมาณอาหารที่ให้จะไม่พอกับความต้องการของน้องเหมียว จึงเทให้กินแบบอิสระ ก็ทำให้น้องเหมียวเลือกกินได้ตลอดเวลาที่อยากกินแต่วิธีนี้ จะทำให้เจ้าเหมียวที่ไม่รู้จักอิ่มกลายเป็นเจ้าแมวอ้วนได้ง่ายๆ แถมยังใช้วิธีนี้ไม่ได้กับแมวที่กินยาก ถ้าอาหารถูกวางไว้นานๆจนไม่กรอบ แมวบางตัวก็จะไม่อยากกินอาหาร

อาหารแมวที่เหมาะกับวัย

อาหารแมวแต่ละช่วงวัยก็เป็นสิ่งที่ต้องศึกษาให้ดีเพราะลูกแมว แมวโตเต็มวัย และแมวชราจะต้องการสารอาหารและปริมาณอาหารต่างกัน

อาหารลูกแมว ควรเน้นเป็นสารอาหารที่พัฒนากล้ามเนื้อ กระดูก ระบบภูมิคุ้มกันและสมอง เช่น โปรตีนจากเนื้อสัตว์, แคลเซียมจากนม, DHA จากปลาน้ำจืดและปลาทะเลน้ำลึก  ไข่แดง 

อาหารแมวโตเต็มวัย ควรเป็นอาหารที่ใยอาหารสูง แต่ไขมันต่ำเพื่อช่วยเรื่องระบบขับถ่ายและไม่อ้วน มีแคลเซียมจากนมเพื่อการเคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่ว และโอเมก้า 3 จาก ปลาแซลมอน ปลาทะเลเพื่อบำรุงขน 

แมวชรา ควรเป็นอาหารที่เน้นโปรตีนแบบย่อยง่าย เช่น เนื้อปลาน้ำจืดและปลาทะเล ไข่แดง เนื้อสัตว์บด แต่มีคาร์โบไฮเดรตต่ำ และควรเป็นอาหารแบบเปียกมากกว่าแบบเม็ดเพราะฟันและเหงือกของแมวชราอาจจะเคี้ยวอาหารยากขึ้นและอวัยวะภายในทำงานไม่มีประสิทธิภาพเหมือนเดิม จึงควรหลีกเลี่ยงอาหารรสเค็มเพื่อป้องกันโรคไต

Categories
สาระน่ารู้เกี่ยวกับแมว

เลี้ยงลูกแมวแรกเกิดอย่างไรให้สุขภาพดีและแข็งแรง

การเลี้ยงแมวแต่ละวัยมีความยากง่ายแตกต่างกัน แต่ที่ยากที่สุดเห็นจะเป็นการเลี้ยงลูกแมวแรกเกิด ที่แม่แมวไม่สามารถเลี้ยงได้  ทาสแมวผู้ซื่อสัตย์ก็ต้องรับหน้าที่ในการดูแลเจ้าเหมียวน้อยเอง ซึ่งวิธีการเลี้ยงลูกแมวแรกเกิด มีข้อควรระวังมากมายเพราะลูกแมววัยแรกเกิดนั้น บอบบางมาก

เมื่อไหร่ที่ควรจะเข้าไปอนุบาลลูกแมวแรกเกิด

ก่อนที่เข้าไปดูแลลูกแมว เราต้องสังเกตการณ์อยู่ห่าง เพื่อดูอากัปกริยาของแม่แมวว่าเป็นอย่างไร มีอาการเครียดหลังคลอด หรือ หวงลูกไหม แต่ถ้าพบว่าแม่แมวไม่ยอมเลี้ยงลูก ซึ่งอาจจะมีสาเหตุมาจากแม่แมวเป็นแมวสาว ตั้งท้องครั้งแรกทำให้เลี้ยงลูกไม่เป็น เราควรต้องรีบเข้าไปช่วยดูแลลูกแมวแรกเกิดให้ได้รับความปลอดภัย

ถ้าไม่มีนมแม่ ให้ลูกแมวกินนมอะไรดี

สิ่งแรกที่ลูกแมวต้องการคือ นมแม่ แต่ถ้าแม่แมวไม่ยอมให้เข้าเต้าก็สามารถใช้นมแพะใส่หลอดฉีดยา ป้อนลูกแมวทางปาก หรือจะใช้ขวดนมขนาดเล็กก็ได้ โดยนมที่ให้ลูกแมวกิน จะต้องเป็น “นมแพะ”เท่านั้น หากเป็นนมวัวจะทำให้ลูกแมวท้องเสียอย่างหนักจนถึงขั้นเสียชีวิตเพราะกระเพาะของแมว ไม่สามารถย่อยโปรตีนในนมวัวได้ และห้ามอุ้มให้นมลูกแมวในท่าเหมือนอุ้มเด็กทารกเพราะนมจะเข้าปอดทำให้ลูกแมวน้อยสำลักจนตายได้เช่นกัน

ลูกแมวแรกเกิดจะกินนมทุก 1- 2 ชั่วโมง ทั้งกลางวันและกลางคืน จึงควรหมั่นป้อนนมลูกแมวให้ครบมื้อ ถ้าลูกแมวหิวจะเริ่มร้อง โดยลูกแมวพันธุ์สกอตติชโฟลด์และบริติชช็อตแฮร์จะกินจุ กินเก่งมากๆ ทำให้ลูกแมวสองพันธุ์นี้จะอ้วนกลมน่ารัก

ที่นอนต้องแห้ง นุ่มและอุ่น

ที่นอนของลูกแมว​ควรเป็นนอนนุ่มๆ​ที่แห้งสบาย​ ไม่อับชื้นเพราะความชื้นจะทำให้ลูกแมวที่ผิวหนังบางและยังไม่มีภูมิต้านทานโรค​ เสี่ยงเป็นเชื้อราได้​ ยิ่งลูกแมวบริติชช็อตแฮร์หรือสกอตติชโฟลด์ที่ขนสั้นแต่หนา จะอับชื้นง่ายกว่า

ระหว่างลูกแมวนอนหลับ ต้องให้ความอบอุ่นแก่ลูกแมวเพราะลูกแมวแรกเกิดต้องการการกกให้ความอบอุ่น​ ​ ให้ใช้โคมไฟหรือแผ่นทำความร้อนที่ทำอุณหภูมิให้อุ่นๆ​ มากกไฟ​ มารองให้ลูกแมวนอนก่อน

กระตุ้นการขับถ่ายให้เหมือนแม่

การเลี้ยงลูกแมวให้สุขภาพดี นอกจากกินนมตามเวลาเพียงพอ ก็ต้องให้ความสำคัญกับการขับถ่าย โดยปกติแม่แมวจะเป็นคนกระตุ้นการขับถ่ายของลูกแมวโดยการเลียที่อวัยวะขับถ่ายของลูกแมว​ แต่ถ้าคุณแม่จำเป็นคงต้องเป็นคนกระตุ้นให้เอง ทำได้โดยการใช้ผ้าเนื้อนุ่มชุบน้ำอุ่น​ บิดหมาดๆ​ แล้วถูที่บริเวณอวัยวะขับถ่ายของลูกแมว​ หลังเช็ดกระตุ้นแล้ว อุ้มลูกแมวเข้ากระบะทรายเป็นเวลาเพื่อสร้างลักษณะนิสัยในการขับถ่าย เมื่อถ่ายเสร็จก็เช็ดอีกครั้งหนึ่ง